อ่านนิยายรายวันเรื่อง ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 2
ดรุณีขยับรถเข้าที่จอด ปลดกุญแจรถ คว้ากระเป๋าสะพายและรายการของที่จะซื้อ ปิดประตูรถแล้วหันถามอาทิจที่เดินรวมกลุ่มมากับน้าแก้ว อึ่ง กับพัน ว่าจะไปหาใครที่สวนคุณย่า“หาคุณย่า” ชายหนุ่มตอบกวน ถูกถามกวนยิ่งกว่าว่ามีธุระอะไร “ธุระส่วนตัว”
ทำท่ากร่างแต่ข่มอาทิจไม่ลง ดรุณีเลยหันไปลงกับอึ่ง พัน และน้าแก้ว ถามเสียงเข้มว่าจะมายืนอยู่ทำไม ให้เอารถเข็นลงมา แล้วถามหารายการของที่จะซื้อกับน้าแก้วว่าเอาไว้ที่ไหน น้าแก้วบอกว่าก็อยู่ในมือคุณณีนั่นแหละ ทำเอาดรุณีหน้าแตกแต่ทำไก๋กลบเกลื่อนไล่ทุกคนให้รีบไปซื้อของตามรายการเร็วๆ เดี๋ยวตลาดจะวายเสียก่อน
“ผมรอที่นี่นะ” อาทิจเอ่ยขึ้นเมื่อรู้ตัวว่าเป็นส่วนเกินของเธอ “คุณไม่ขอโทษผมก็ไม่เป็นไร แค่ไถ่โทษด้วยการให้ผมอาศัยรถไปด้วยก็พอแล้ว”
ดรุณีพูดอย่างไม่แยแสว่าจะรอที่ไหนก็เรื่องของนาย พูดแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์บอกให้ไปรอฝั่งโน้นดีกว่า แดดไม่ร้อน น้าแก้วมีแก่ใจบอกว่าเดี๋ยวซื้อของเสร็จแล้วจะไปตาม ดรุณีเร่งทุกคนไปกันได้แล้ว อึ่งกับพันจึงหิ้วตะกร้า เข็นรถตามไป
อาทิจเห็นดรุณีทำกุญแจรถตก เขาหยิบขึ้นมาจะเรียกดรุณี แต่พอเงยหน้าขึ้นทุกคนก็หายไปจากตรงนั้นแล้ว เขาจึงเดินไปฝั่งตรงข้าม เข้าไปในร้านอาหาร เจ้าของร้านมาแจ้งรายการอาหารยาวเหยียด เสร็จแล้วถามว่าจะรับอะไรดีครับ
“น้ำแข็งเปล่าแก้วนึงครับพี่ พอดีคุณแม่ผมทำกับข้าวมาให้แล้ว” เจ้าของร้านทำหน้าเซ็ง อาทิจไม่ได้สังเกต เขาจัดแจงเอาห่อใบตองออกมาสองห่อ ห่อหนึ่งเป็นข้าวเหนียวนึ่งอีกห่อเป็นเนื้อย่างแดดเดียว
ดรุณีกับน้าแก้ว อึ่ง และพันยังอยู่ฝั่งตรงข้าม ดรุณีชะเง้อมองอาทิจแล้วสั่งทุกคนแยกย้ายไปซื้อของ น้าแก้วบอกว่าดีไปเร็วกลับเร็ว คุณคนนั้นจะได้ไม่ต้องรอนาน
“เร็วแต่ไม่ต้องรอค่ะ หนูไม่ได้รับปากเขานี่คะว่าจะให้เขาไปด้วย” พูดพลางเขม้นมองไปที่อาทิจ “เล่นสั่งข้าวมากินซะขนาดนั้นคงอีกนานกว่าจะกินเสร็จ ถ้าเรากลับแล้วมาไม่ทัน มันก็ไม่ใช่ความผิดของเรา จริงไหมคะ แล้วเจอกันที่รถเลยนะคะน้าแก้ว” พูดแล้วเดินไปเลย น้าแก้วมองตามหลังส่ายหน้าอย่างรู้ทัน แล้วเดินไปอีกทาง
อาทิจไม่ทันกินข้าว ก็มีหญิงจรจัดคนหนึ่งอุ้มลูกเข้ามาขอข้าวเจ้าของร้านกิน ถูกเจ้าของร้านไล่บอกว่าติดหนี้ข้าวเป็นร้อยแล้วยังมีหน้ามาขออีก อาทิจเห็นดังนั้นจึงเรียกหญิงจรจัดมากินกับตน เจ้าของร้านไม่ยอมให้นั่งเพราะไม่ได้ซื้ออะไรที่ร้าน อาทิจเลยให้สั่งน้ำแข็งเปล่าแก้วหนึ่ง แล้วเลื่อนข้าวกับเนื้อย่างแดดเดียวของตนให้หญิงคนนั้นกับลูกกิน
สองแม่ลูกกินอย่างหิวโหย อาทิจมองอย่างเวทนาจนตัวเองลืมความหิวไปเลย
ooooooo
ดรุณีกับน้าแก้ว อึ่ง และพันซื้อของเสร็จกลับมาแล้ว เธอเร่งทุกคนให้ไปกันได้เลย น้าแก้วท้วงติงว่ามันจะดีหรือ เดี๋ยวใครๆจะนินทาเอาได้ว่าคนที่สวนคุณย่าไม่มีน้ำใจ อึ่งกับพันเห็นด้วย ดรุณีโต้ว่าน้ำใจมีไว้ตอบแทนคนที่มีน้ำใจให้เราเท่านั้น
อาทิจได้ยินพอดีถามว่า แล้วการเก็บกุญแจรถที่คนทำตกไว้แล้วไม่ขโมยรถ แต่นำกุญแจมาคืนเจ้าของ อย่างนี้เรียกว่ามีน้ำใจไหม ดรุณีฉุกคิดได้ตบกระเป๋าหากุญแจรถจึงรู้ว่าหายไป
อาทิจยื่นกุญแจรถไปตรงหน้า เธอกระชากไป อาทิจถามว่า ในเมื่อตนมีน้ำใจเธอก็คงไม่กลืนน้ำลายตัวเอง จริงไหม พูดแล้วกระโดดขึ้นท้ายรถกระบะเลย ดรุณีสะบัดไปที่นั่งคนขับกระชากรถออกไป จนคนที่นั่งอยู่กระบะเทหัวทิ่มไปข้างหน้าแล้วกระดอนมาข้างหลังหัวทิ่มหัวตำ ไปตามกัน
ระหว่างทางกลับไปสวนส้ม อาทิจมองสองข้างทางอย่างศึกษาหาข้อมูล ส่วนอึ่งกับพันนั่งมองอาทิจนึกในใจว่าหมอนี่เป็นใครนะ ทำไมหล่อลากดินขนาดนี้ อาทิจหันมาเจอสายตาของทั้งสองก็ฉีกยิ้มให้แล้วมองไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ
ส่วนที่หน้ารถ หลังจากน้าแก้วรู้ว่าอาทิจคือชายหนุ่มคนที่มากอดไหล่ดรุณีที่พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงเมื่อ
วันก่อน ก็หัวเราะชอบใจว่านี่ต้องเป็นเนื้อคู่กันแน่ๆ ถึงได้เจอกันแล้วเจอกันอีก สงสัยว่าหนุ่มนี่คงจะไปสมัครงานกับคุณย่า เหลียวมองข้างหลังแล้วพูดขำๆ ว่าพวกสาวๆที่ไร่คงไม่เป็นอันทำงานกันแน่ ขนาดอึ่งกับพันยังมองกันไม่วางตาเลย
“เดี๋ยวเถอะ...จะทำให้หายหล่อทั้งคนจ้องทั้งคนถูกจ้องเลย” ดรุณีพูดอย่างมันเขี้ยวแล้วกระชากรถวืดดดดเดียว คนข้างหลังก็ถูกเหวี่ยงไปกองกันข้างหน้าแล้วกระดอนมาข้างหลัง ร้องกันลั่นไปหมด
ดรุณียังตั้งหน้าตั้งตาแกล้งคนข้างหลังทั้งที่ตัวเองเพิ่งขับรถเป็นแท้ๆ จนเกือบประสานงากับรถที่สวนมา ดีที่หักหลบได้หวุดหวิด คราวนี้อาทิจทนไม่ได้แล้ว เขาลงไปนั่งเบียดดรุณีออกไป ขอเป็นคนขับรถเอง ดรุณียังทำอวดดีไม่ยอมให้ขับ
“ขับรถประสาอะไร จะพาทุกคนไปตายกันหมดแล้วรู้ตัวรึเปล่า” อาทิจเสียงดัง ดรุณีถามว่าแล้วเกี่ยวอะไรกับเขา “เกี่ยวสิ ในเมื่อผมนั่งรถมากับคุณ”
ดรุณีบอกว่าไม่พอใจก็โบกรถคันอื่นไปเอง อาทิจไม่ยอมเพราะตนต้องไปพบคุณย่าวันนี้ให้ได้ และต้องไปรถคันนี้ด้วยแล้วนั่งเบียด ดรุณีตวาดว่าเขาไม่มีสิทธิ์มาขับรถคุณย่า อาทิจถามว่าทำไมจะไม่มีสิทธิ์ในเมื่อตนก็เป็นหลานคุณย่าเหมือนกัน และก็ขับรถเป็นกว่าเธอหลายเท่า
ทุกคนเลยพากันอึ้งเมื่อรู้ว่าอาทิจเป็นหลานคุณย่า เขาจึงเปิดเผยตัวเองว่าชื่ออาทิจเท่านั้นเอง ดรุณีถึงกับตะลึงว่าที่แท้ก็นายคนนี้นี่เอง!
ooooooo
อาทิจขับรถมาจนถึงสวนส้ม น้าแก้วบอกดรุณีว่าตนจะจัดการกับของที่ซื้อมาเอง ให้เธอพาอาทิจไปพบคุณย่าก็แล้วกัน ดรุณีเดินอ้าวไปเลย จนน้าแก้วต้องพูดออกตัวกับอาทิจว่า เธอคงไม่คิดว่าเขาจะเป็นหลานคุณย่าเลยตั้งตัวไม่ทัน และคงรู้สึกผิดเรื่องขับรถด้วย แก้ต่างให้ว่า เธอเพิ่งขับรถเป็น ไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งเขาหรอก
“ผมไม่ติดใจอะไรหรอกครับ เพียงแต่คิดว่าจะทำยังไงถึงจะเอาชีวิตรอดมากราบคุณย่าได้เท่านั้น”
ดรุณีตะบึงตะบอนพาอาทิจไปหาคุณย่า พูดเหน็บว่าพอได้รับจดหมายก็รีบแจ้นมาเลย คุณย่ามองอาทิจที่เข้ามาอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว สัญชาตญาณความเป็นย่าหลานทำให้มองกันด้วยสายตาอบอุ่น ชิดเชื้อ
อาทิจเข้าไปก้มกราบแทบเท้าคุณย่า ดรุณีทำแสบแกล้งยื่นเท้าไปใกล้คุณย่าเลยเหมือนอาทิจกราบตนไปด้วย แต่อาทิจก็ไม่สนใจเมื่อคุณย่าถามว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ มาอย่างไร
อาทิจกับน้าแก้วช่วยกันเล่า คุณย่าเห็นรอยฟกช้ำที่แขนกับศอกของอาทิจถามว่าไปโดนอะไรมา อาทิจไม่อยากมีเรื่องตอบเลี่ยงไปแบบไม่โกหกแต่ก็พูดไม่หมดว่า ตนข้ามถนนแล้วไม่ทันเห็นรถที่แล่นมา กระโดดหลบเลยล้มกระแทกพื้นเอง
คุณย่าบ่นพวกวัยรุ่นที่เพิ่งหัดขับรถแล้วออกมากวนเมือง เตือนเขาต้องระวังตัวให้มาก อาทิจสะใจมากบอกคุณย่าว่า
“ครับ ผมจะระวังพวกวัยรุ่นกวนเมืองพวกนี้ให้มากครับ” พลางปรายตาไปทางดรุณี เธอตีหน้ายักษ์ใส่ ส่วนน้าแก้วรู้แกวแอบขำเบาๆ จากนั้นคุณย่าลำดับญาติให้ฟังว่า
“มาด้วยกันอย่างนี้พ่ออาทิจคงรู้จักกับแม่ณีแล้วสินะ แม่ณีเป็นน้องคนหนึ่งของย่า ก็ต้องมีศักดิ์เป็นย่าของพ่ออาทิจด้วย”
“นายอาทิจต้องเรียกหนูว่า คุณย่า ถูกไหมคะ” ดรุณีดี๊ด๊า พอคุณย่ารับว่าใช่ เธอก็หันไปยืดกับเขาทันที ทำเอาอาทิจกระอักกระอ่วนใจ คุณย่าตัดบทว่าคนไทยเรานิยมนับญาติกันตามอายุ ถามอาทิจว่าอายุเท่าไร พอรู้ว่า 20 เศษ คุณย่าบอกว่าแก่กว่าดรุณี 3 ปีเอง บอกดรุณีว่า ให้เธอเรียกอาทิจว่า “พี่” ก็แล้วกัน ทำเอาดรุณีปรับอารมณ์ไม่ทันหน้างํ้าไปเลย
แล้วคุณย่าก็ประทับใจหลานชายคนนี้ เมื่อจัดห้องพักให้แล้ว เขาบอกว่าตนกินอยู่ง่ายขอแค่เสื่อผืนหมอนใบ มีข้าวกินมีที่ดินให้ทำงาน แค่นั้นก็พอแล้ว
“กินง่ายอยู่ง่ายอย่างนี้ก็ดีแล้วล่ะพ่อ” คุณย่าพอใจ แต่ได้ยินเสียงดรุณีกระแอมกระไอพลางลุกขึ้น คุณย่าถามว่าจะไปไหน เธอบอกว่าจู่ๆก็รู้สึกคลื่นไส้เหมือนอ้วกจะแตก คุณย่าเลยฝากว่า “ถ้าอย่างนั้นก็พาพ่ออาทิจไปด้วยเลย อ้วกเสร็จแล้วจะได้พาพ่ออาทิจไปส่งที่บ้านพัก... ไป...พ่ออาทิจ”
“ครับคุณย่า” อาทิจรับคำลุกขึ้นตามดรุณีที่เดินกระฟัดกระเฟียดไป
ระหว่างทางอาทิจถามว่าไม่พอใจตนเรื่องอะไร ดรุณีไม่บอก เขาเลยเดาว่ากลัวตนจะมาปอกลอกคุณย่าใช่ไหม บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงเพราะตนมาที่นี่เพื่อทำงาน และจะพิสูจน์ให้เธอและทุกคนเห็นว่า ตนไม่เหมือนคนอื่น
“ฉันจะคอยดู” ดรุณีพูดใส่หน้าอย่างเย้ยหยัน ท้าทาย
ooooooo
ดรุณีเจ็บใจที่ข่มอาทิจไม่ลง พอใกล้บ้านพักก็ตะโกนเรียกจิ๋วแจ๋ว ลูกสาววัยกำดัดของน้าแก้วให้มาพาอาทิจไปบ้านพักติดนํ้าตกให้หน่อย พอจิ๋วแจ๋วมาเห็นอาทิจเท่านั้น ก็เคลิ้มความหล่อของเขา ดรุณียิ่งหงุดหงิดที่อาทิจหล่อชนะใจสาวๆทุกคน ส่งอาทิจให้จิ๋วแจ๋วแล้วก็สะบัดกลับไป
อาทิจพอใจมากที่บ้านพักอยู่ท่ามกลางดงกล้วยไม้ป่า กลางหุบเขา และติดนํ้าตก บอกจิ๋วแจ๋วว่าน่าอยู่จัง จิ๋วแจ๋วทำหน้าสยองบอกว่าน่าอยู่แต่ไม่มีใครอยากอยู่เพราะลือกันว่าที่นี่ผีดุ ทั้งผีนางตะเคียนและผีนางตานี พูดแล้วก็รีบขอตัวกลับ
อาทิจไม่ใส่ใจกับเรื่องที่จิ๋วแจ๋วพูด เขามองไปรอบๆบ้านอย่างพอใจมากกับอาณาจักรเล็กๆที่ร่มรื่นของตัวเอง จัดแจงเอารูปครอบครัวที่ติดมาวางไว้หัวเตียง พูดกับพ่อในรูปว่า
“ผมจะเป็นตัวแทนไถ่โทษให้คุณพ่อ จะตั้งใจ
ทำงานเพื่อปากท้องและการศึกษาของน้องๆ ผมจะพิสูจน์ตัวเองให้คุณย่าและทุกคนเห็นครับว่า ลูกชายของคุณพ่อคนนี้ ก็เอาดีกับงานในไร่ในสวนได้เหมือนกัน”
อาทิจมองรูปครอบครัวยิ้มอย่างมีความสุขเหมือนได้อยู่กันพร้อมหน้ากับทุกคนในครอบครัว
การมาของหลานคุณย่าคนล่าสุด เป็นที่ฮือฮาของพวกคนงาน ที่ลานอเนกประสงค์บ้านพักคนงาน วันนี้จึงมีการวิพากษ์วิจารณ์กันถึงความหล่อของหลานคุณย่า จนต๊อดที่ถือว่าตัวเองหล่อที่สุดในสวนส้มนี้แล้วทนฟังไม่ได้ บอกว่าหล่อสักแค่ไหนก็ทนอยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงสิบวันมีหวังเปิดกลับไปแน่ ถึงขั้นประกาศว่าเสือสองตัวจะอยู่ถํ้าเดียวกันไม่ได้ ตนหล่อเป็นอันดับหนึ่งมาตลอดจะมีใครมาหล่อเกินหน้าตนได้ยังไง
“ถามจริงๆเหอะ ใครไปเข้าฝันบอกเอ็งว่าเอ็งหล่อรึ ถ้าเอ็งหล่อ ข้าสองคนก็แหล่มล่ะวะ” พันกับอึ่งเยาะเย้ยแล้วพากันหัวเราะใส่ต๊อด ทำให้ต๊อดยิ่งเจ็บใจ ประกาศว่า จะไม่ยอมให้ใครมาหล่อบดบังรัศมีตนเด็ดขาด
ooooooo
ดรุณีเห็นคุณย่าเอ็นดูอาทิจก็ระแวงว่าตัวเองจะตกอันดับ ยิ่งเมื่อน้าแก้วบอกว่าถ้าอาทิจขยันและอดทนกับงานหนักได้ด้วยแล้วละก็...มีหวังคุณย่าจะเอ็นดูมากกว่านี้ ก็ยิ่งไม่ชอบหน้า
ระหว่างนั้นเอง คุณย่าก็มาบอกให้น้าแก้วเตรียมอาหารเผื่ออาทิจด้วย ดรุณีนึกว่าคุณย่าจะให้ใครยกไปให้เขาที่บ้านพัก พอรู้ว่าคุณย่าจะให้อาทิจมาร่วมโต๊ะด้วยก็ยิ่งรับไม่ได้ ดังนั้น เมื่อคุณย่าให้ไปเรียกอาทิจมากินข้าวจึงเกี่ยงให้น้าแก้วไปเรียก น้าแก้วอ้างว่าต้องทำอาหาร ดรุณีเลยกระฟัดกระเฟียดไปเรียก
ไปเจออาทิจเพิ่งอาบนํ้าเสร็จนุ่งผ้าขนหนูออกมาพอดี เธอโวยวายว่าอุบาทว์ ไม่มีเสื้อผ้าใส่รึไงถึงได้มายืนเปลือยอยู่อย่างนี้ อาทิจบอกว่าตนเพิ่งอาบนํ้าเสร็จและไม่คิดว่าจะมีใครมาด้วย พูดกวนประสาทว่า
“ผ้าเช็ดตัวผมมีผืนเดียว ผมเลือกอุจาดท่อนบนมันผิดหรือครับ หรือคุณอยากให้ผมอุจาดท่อนล่าง”
ดรุณีด่าอีกรอบแล้วกลับไป อาทิจมองตามขำๆ ถอดผ้าขนหนูออก ที่แท้เขานุ่งกางเกงขาสั้นอยู่ข้างในอีกชั้น
ooooooo
ครู่เดียว อาทิจก็แต่งตัวเรียบร้อยเดินอย่างนอบน้อมเข้ามา ดรุณีที่กำลังฟ้องคุณย่าอยู่นึกหมั่นไส้เลยขอตัวไปอาบนํ้า คุณย่าจึงบอกอาทิจว่ารอน้องไปอาบนํ้าก่อน พาอาทิจไปนั่งคุยกันที่ระเบียงด้านนอก
คุณย่าถามไถ่เรื่องที่พัก อาทิจบอกว่าน่าอยู่มาก คุณย่าจึงบอกเขาว่า อย่าถือสาดรุณีเลยเพราะเป็นเด็กที่สุดในบ้าน แล้วก็ยังขี้น้อยใจและแสนงอนอยู่สักหน่อย
อาทิจบอกว่าตนไม่ถือ เพราะตนก็มีน้องสาวหลายคน แต่เอาความเฮี้ยวของน้องๆมารวมกันหมดก็ยังได้ไม่ถึงครึ่งของดรุณี ทำให้คุณย่าหัวเราะขำๆออกมา บอกว่าถึงดรุณีจะบู๊จะซนแต่เป็นคนจิตใจดี ย่ารับรองได้ อาทิจฟังแล้วนึกถามในใจว่าจริงหรือ??
ดรุณียังไม่ไปไหน แอบดูอยู่เห็นคุณย่าหัวเราะอารมณ์ดีก็นึกหมั่นไส้ว่าอาทิจต้องประจบอะไรคุณย่าแน่ๆ
อาบนํ้าเสร็จแล้ว ดรุณีหมั่นไส้อาทิจจนไม่ยอมลงไปกินข้าวร่วมโต๊ะ จนน้าแก้วต้องลงไปบอกคุณย่าว่าเธอท้องเสียกินยาแล้วขอนอนพักก่อน
ระหว่างกินข้าว คุณย่าถามอาทิจว่าต้องการอะไรมากที่สุดในชีวิต เขาบอกว่าที่ดินสักแปลงหนึ่ง คุณย่าถามอีกว่าถ้ามีที่ดินสัก 10 ไร่จะทำอะไร
อาทิจพูดตามหลักวิชาการว่าต้องดูลักษณะดินก่อน คุณย่าถามอีกว่าแล้วจากนั้นจะทำอย่างไร เขาบอกว่าต้องดูนํ้าด้วยจึงจะเลือกพืชที่เหมาะสมได้ คุณย่าฟังแล้วเปรยๆว่า
“ย่ามีที่ดินเป็นพันไร่ ปลูกอะไรไปตั้งมากมาย ยังไม่รู้เลยว่าดินที่ปลูกเป็นดินเปรี้ยวหรือดินเค็ม แกรู้รึเปล่าแม่แก้ว” คุณย่าหันไปถามน้าแก้วฝ่ายนั้นหัวเราะแหะๆ คุณย่าถามอาทิจว่าแล้วเราจะรู้ได้ยังไง
“มันมีวิธีทดสอบครับ” อาทิจตอบแล้วบรรยายไปตามที่ได้เรียนมา น้าแก้วฟังหูผึ่ง คุณย่าฟังแล้วยิ้มพอใจ แต่ที่นอกห้อง ดรุณีมาแอบฟังอยู่ เหยียดยิ้มอย่างหมั่นไส้ทำนองว่า เก่งมาจากไหนเชียว!
ooooooo
คุณย่ายังคุยกับอาทิจอย่างติดลมเรื่องการทำสวนทำไร่ ถามว่าเขาถนัดทำแบบไหน อาทิจบอกว่าทำได้ทุกอย่างเพราะเกษตรกรที่ดีต้องทำได้ทุกอย่าง เพียงแต่เลือกทำให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมที่ตัวเองอยู่เท่านั้น
หลังจากคุยวัดภูมิวัดใจกันแล้ว คุณย่าบอกว่าจะให้อาทิจดูแลทุกอย่างแทนย่า พรุ่งนี้จะพาไปดูที่ทางว่าเราทำอะไรไว้ตรงไหนบ้าง
“คุณย่าใช้ผมได้ทุกอย่าง ผมเองก็จะทำอย่างสุดความสามารถ สิ่งไหนที่ผมไม่รู้ ผมก็พร้อมจะเรียนรู้ เพื่อจะนำมารับใช้คุณย่าให้ได้ครับ” อาทิจปวารณาตนจากใจจริง ถูกคุณย่าค่อนว่าแม่คงสอนให้พูดหวานๆ อย่างนี้ใช่ไหม “ผมไม่ได้อยากจะพูดหวานกับคุณย่า ผมพูดทุกอย่างออกมาจากใจครับ”
“ถ้าอย่างนั้น ใจพ่อก็หวานด้วยสินะ” คุณย่าหยอก สองย่าหลานมองหน้ากันด้วยความรู้สึกอบอุ่น
เพราะไม่ยอมไปกินข้าวร่วมโต๊ะกับอาทิจ พอตกกลางคืน ดรุณีก็หิวจนทนไม่ได้ ลุกไปเปิดตู้เย็นหยิบนมที่อยู่ในเหยือกมาเทใส่แก้วทรงสูงจนเกือบล้นยกดื่มอึ้กๆๆอย่างหิวจัด น้าแก้วมาเจอถามว่าหิวแล้วใช่ไหม ก็ยังปากแข็งว่าไม่หิว แต่ไม่อยากให้ท้องว่าง น้าแก้วส่ายหน้าแบบ...เชื่อเขาเลย
อึดใจเดียวอาทิจก็เข้ามาทักว่า ท้องเสียแล้วมาดื่มนมเดี๋ยวได้ท้องร่วงทั้งคืนหรอก ดรุณีถามว่าใครบอกว่าตนท้องเสีย อาทิจเลยเอะใจว่าคงเป็นข้ออ้างไม่ลงมากินข้าวของเธอ ถามว่าเธอจะเลี่ยงได้สักกี่มื้อ เพราะถ้าคุณย่าสั่งตนก็ต้องมาไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ เตือนอีกครั้งว่าดื่มนมตอนหิวจัดๆทำให้ปวดท้องได้
ดรุณีกระฟัดกระเฟียดใส่ว่าไม่ต้องมายุ่งกับตนไม่ต้องพูดกันได้เลยยิ่งดี พอดีน้าแก้วเอานมอุ่นๆเข้ามาอาทิจถามว่าของคุณย่าใช่ไหมเดี๋ยวตนยกไปเองเพราะคุณย่าใช้ให้ตนมาเอา
“นี่มันหน้าที่ประจำของฉัน ฉันดื่มนมกับคุณย่าทุกวัน ใครไม่เกี่ยว...ถอยไป” ดรุณีฉวยถาดใส่นมไปเลย
“ไหนบอก...ไม่ต้องพูดกันเลยยิ่งดีไง แล้วนี่ใครพูดกับใครก่อนค้า” อาทิจทำเสียงประชด
ดรุณีค้อนขวับแก้เกี้ยวแล้วถือถาดเดินตึงๆไป น้าแก้ว กับอาทิจพยักหน้าให้กันแบบ...เห็นรึยัง...
ขณะดรุณีเอานมอุ่นๆไปให้คุณย่านั่นเอง อาทิจก็ถือถาดใส่นมแก้วใหญ่เท่าเหยือกมากับน้าแก้ว ยกแก้วใหญ่ให้ดรุณี บอกว่าแก้วนี้ของเธอ ดรุณีไม่กล้าแผลงฤทธิ์เลยต้องดื่มนมเข้าไปอีกแก้วใหญ่ มิหนำซํ้า คุณย่ายังชวนชนแก้วนมเป็นการต้อนรับอาทิจด้วย ดรุณีจำต้อง กลํ้ากลืนดื่มนมไปอีกแก้วใหญ่ เสร็จแล้วก็ต้องแอบไปอ้วกที่ใต้ต้นไม้ข้างบ้านคุณย่านั่นเอง
ระหว่างนั้น ต๊อดที่ถูกคุณย่าสั่งให้ไปนอนเป็นเพื่อนอาทิจเดินมาเห็นเงาตะคุ่มๆ นึกว่าผีหลอกร้องจ๊าก ดรุณีถามว่ามาทำอะไรแถวนี้
ooooooo
พอกลับขึ้นไปที่ระเบียงบ้านคุณย่า คุณย่าบอกอาทิจให้เอาหมอนกับผ้านวมไปเผื่อตอนดึกจะหนาว ดรุณีเลยขู่ว่าอาจจะไม่หนาวเพราะมีผีนางตานีมานอนกอดให้อุ่นทั้งคืนก็ได้
คุณย่าบอกว่าที่บ้านนั้นยังไม่มีไฟฟ้าเพราะไม่ค่อยมีคนไปอยู่ ไม่สะดวกอย่างไรก็ให้บอก ดรุณีรีบบอกว่าตนง่วงแล้วชวนคุณย่าไปนอนกันเถอะ แก้วมาบอกอาทิจว่าตนให้คนเอานํ้ามันไปให้ที่บ้านแล้ว ถ้าตะเกียงนํ้ามันหมดก็เติมเอา
เพราะถูกทั้งจิ๋วแจ๋วกับดรุณีขู่ไว้มาก พอกลับมาเจอบ้านที่อยู่ในร่มไม้ทึบลมพัดใบไม้ไหวเอนไปมา อาทิจก็อดที่จะหวั่นไหวไม่ได้ ปลอบใจตัวเองแล้วกระโดดแผล็วขึ้นบ้านรีบปิดประตูแน่นหนา
แล้วอาทิจก็ตกใจแทบช็อกเมื่อมองหานํ้ามันจะมาเติมตะเกียง เจอมือลึกลับยื่นขวดนํ้ามันมาให้ กว่าจะรู้ว่าเป็นต๊อดก็ทำเอาแทบหัวใจวาย แล้วก็กลายเป็นเคืองเมื่อรู้ว่าเป็นแผนแกล้งตนของดรุณี
แต่คืนนี้ ทั้งต๊อดและอาทิจก็คุยกันอย่างสนิทสนมเมื่อต๊อดบอกว่าตนเป็นคนมหาสารคาม ส่วนอาทิจก็บอกว่าแม่ตนเป็นคนขอนแก่นแต่งงานกับพ่อแล้วเลยย้ายมาอยู่ที่ปากช่อง ทั้งสองเลยพูดเว่าอีสานกันอย่างสนิทสนม
ดรุณีปีนต้นไม้แอบดูผลงานของต๊อด เธอเจ็บใจเพราะแทนที่ต๊อดจะหลอกหลอนอาทิจกลับคุยกันอย่างสนิทสนม สนุกสนาน กระโดดลงจากต้นไม้เดินไปถูกกิ่งไม้หักเกือบโดนหลัง เธอตกใจนึกว่าผีหลอกร้องกรี๊ดๆ วิ่งหนีไป
อาทิจมายืนตรงหน้าต่าง หัวเราะขำๆความเกรียนของดรุณี
ooooooo
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น คุณย่าพาอาทิจไปดูสวน คุณย่าเดินเท้าเปล่าไปตามแนวหญ้าที่ขึ้นอยู่ข้างสวน บอกว่า เคยอ่านหนังสือฝรั่งเขาบอกว่า การเดินอย่างนี้ช่วยล้างพิษออกจากร่างกาย ทำให้เลือดไหลเวียนแล้วก็แข็งแรงด้วย
คุณย่าบอกว่าจำเป็นที่ต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเพราะลูกหลานไปเอาดีทางราชการกันหมด ไม่มีใครมาดูแลสวนส้ม ถามว่าแล้วประวิทย์ไปรับราชการพออยู่พอกินไหมล่ะ
“ถ้าคุณแม่ไม่ช่วยปลูกผักทำขนมขายก็ไม่พอครับคุณย่า คุณพ่อท่านไม่เคยรับเงินใต้โต๊ะจากใคร ไม่เคยโกงใคร เงินเดือนที่ท่านได้รับเป็นเงินจากหยาดเหงื่อแรงงานบริสุทธิ์ของท่านจริงๆ”
คุณย่าบอกว่านั่นเป็นข้อดีที่พ่อเขาได้รับจากคุณปู่ หวังว่าเขาจะได้เลือดคุณปู่มาเหมือนกัน อาทิจบอกว่าตนได้รับเลือดคุณย่ามาด้วย อยากเป็นชาวไร่ชาวสวน และจะเป็นชาวไร่ชาวสวนที่ดีแบบคุณย่าด้วย ทำให้ย่าหลานยิ่งมีความรักความผูกพันกันมากขึ้น
อาทิจถามว่าคุณย่าได้รับแรงบันดาลใจยิ่งใหญ่จากที่ไหนถึงเข้มแข็งได้อย่างนี้ คุณย่าบอกว่าได้จากในหลวง ท่านเหนื่อยยากทุกอย่างก็เพื่อให้ชาวไร่ชาวนาเราได้อยู่ดีกินดี พวกเราต้องตอบแทนท่านด้วยการนำสิ่งที่ท่านสอน ท่านให้ มาปรับใช้อย่างเหมาะสมด้วยความรักความศรัทธาในผืนดินที่เราทำกิน
“ผมจะนำแรงบันดาลใจที่คุณย่าได้รับจากพระองค์ท่านมาเป็นคติประจำใจในการทำงานครับ” คุณย่าฝากความหวังไว้ว่าเขาจะสานงานที่เป็นประโยชน์อย่างนี้ต่อไปจนชั่วลูกชั่วหลาน อาทิจสัญญาว่า “ผมจะพยายามเต็มที่ จะพยายามอย่างสุดชีวิต สุดหัวใจครับคุณย่า”
ooooooo
ความหล่อ ความมีน้ำใจ ความไม่ถือตัว และความมุ่งมั่นในการทำงานของอาทิจเป็นที่กล่าวขวัญและชื่นชมของบรรดาคนงาน เมื่อคุณย่าพาไปแนะนำตัวแก่ไพฑูรหัวหน้าแผนกเครื่องมือและดูแลผลผลิตและนายเกร็งหัวหน้าคนงาน บอกทั้งสองว่า ต่อไปจะให้อาทิจช่วยดูแลงานแทน
เมื่อคุณย่าถามไพฑูรว่ารถแทรกเตอร์ที่เสียเอาไปซ่อมหรือยัง ไพฑูรบอกว่าแจ้งไปแล้วแต่ช่างไม่ว่างสักที อาทิจจึงอาสาจะลองซ่อมดู ทำให้ไพฑูรหมั่นไส้ เมื่อได้คุยกับดรุณีทั้งสองจึงเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ซ้ำไพฑูรยังยุแหย่ว่าไปๆมาๆอาทิจจะเบียดตำแหน่งหลานรัก
คุณย่าจากเธอไปแล้ว ทำให้ดรุณียิ่งเกลียดชังเขา
น้าแก้วรู้ว่าอาทิจอาสาซ่อมแทรกเตอร์ก็พูดอย่างตื่นเต้นกับคุณย่าว่า ถ้าทำได้ก็นับว่าเก่งมากเลย
“ซ่อมได้หรือไม่ได้ มันไม่สำคัญเท่ากับการที่เราได้เห็นความมีน้ำใจและความตั้งใจดีของคนคนหนึ่งหรอกแม่แก้ว ดูโดยรวมแล้ว พ่ออาทิจเขาเป็นคนที่มี
ความคิด มีความมุ่งมั่นตั้งใจแล้วก็พร้อมจะเรียนรู้และรับฟัง แกต้องไปเห็นตอนที่ตาเกร็งร่ายยาวเรื่องงานในสวนส้มให้พ่ออาทิจฟัง พ่ออาทิจน่ะยืนฟังตาแป๋วเลย”
คุณย่าชมไปถึงพ่อแม่อาทิจว่าสอนลูกมาดี ตอนนี้ก็เหลืออยู่แต่ว่าอาทิจจะอดทนและทำได้อย่างตั้งใจหรือเปล่า ดรุณีมาแอบฟังอยู่บ่นอย่างน้อยใจที่คุณย่าไม่พูดถึงไม่ถามถึงตนเลยสักคำ วิ่งไปจากตรงนั้น เลยไม่ทันได้ฟังคุณย่าถามถึงตัวเองว่า
“นี่แม่ณีไปไหนล่ะ” แก้วบอกว่าไปอ่านหนังสือหายไปทั้งวันเลย คงกลัวจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ “มีหลานเกือบ 30 คน ฝากผีฝากไข้ได้สักสองคนก็ยังดีนะแม่แก้วนะ” คุณย่าพูดอย่างมีความสุขกับคนที่คิดว่าจะฝากความหวังได้
ooooooo
ที่แท้ดรุณีวิ่งไปนั่งคุดคู้ที่ใต้ต้นส้มแสนรักของตัวเอง ระบายความอัดอั้นในใจออกมา น้ำตาอาบหน้า...
ดรุณีน้อยใจหวาดระแวง เพราะตัวเองมีปมด้อยที่เป็นลูกกำพร้า ที่แท้แล้วเธอไม่ได้มีเลือดเนื้อเชื้อไขในตระกูลนี้เลย
เธอคือลูกของแม่ดัดที่เป็นเมียคนหนึ่งของคุณพ่อของย่า และตนก็เป็นเพียงลูกของผู้ชายที่ทิ้งแม่ไปตั้งแต่ตนยังอยู่ในท้องเท่านั้น เป็นบุญของตนที่คุณย่าเก็บมาเลี้ยงทั้งที่ไม่ได้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลนี้เลยแม้แต่น้อย
ดรุณีไปร้องไห้คร่ำครวญอยู่ใต้ต้นส้ม ซบกับแผ่นแม่ธรณีราวกับจะให้แม่ธรณีโอบกอดให้ความอบอุ่น ร้องไห้จนหลับไป เมื่อถึงเวลาทานข้าวก็ยังไม่ไป คุณย่าเป็นห่วงมากให้น้าแก้วไปตาม
ระหว่างนั้น คุณย่าถามอาทิจว่าซ่อมแทรกเตอร์เป็นอย่างไรบ้าง อาทิจบอกว่าที่จริงตนไม่ได้เรียนมาทางนี้ แต่เคยเห็นเขาซ่อมจึงลองถอดเครื่องออกมาดู ขอคุณย่าว่า ถ้าซ่อมได้จะขอเอาไปบุกเบิกที่หลังบ้านพักได้ไหม ตนอยากปลูกผักเพราะเห็นคุณย่าชอบทานผัก
เมื่อคุณย่าอนุญาตเขาเอ่ยปากขอคุณย่าช่วยจ่ายค่าเมล็ดพันธุ์ให้ก่อนได้ไหม แล้วตนจะผ่อนคืนให้ภายหลัง
“ได้สิ ถึงย่าไม่มีเงิน ย่าก็จะดิ้นรนหาให้พ่อจนได้ ขออย่างเดียว...ขอให้พ่อตั้งใจทำอย่างเต็มกำลังก็แล้วกัน ย่าสนับสนุนเต็มที่”
อาทิจยกมือไหว้ขอบคุณคุณย่าด้วยความซาบซึ้งใจ
ooooooo
น้าแก้วตามไปเจอดรุณีหลับอยู่ใต้ต้นไม้ เมื่อกลับมาเล่าให้คุณย่าฟัง คุณย่าทั้งปลอบโยนและบ่นดรุณีว่าน้อยใจอะไรไม่เข้าเรื่อง ไปร้อนรนอิจฉาอาทิจทั้งที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใจเราเองนั่นแหละที่จะเป็นทุกข์ เมื่อดรุณีบอกความน้อยใจในความเป็นมาของตน คุณย่ามองลึกเข้าไปในดวงตาเธอ พูดอย่างจริงจัง เมตตาว่า
“ฟังย่าให้ดีนะแม่ณี หนูจะเป็นลูกใครไม่สำคัญ ให้รู้ไว้อย่างเดียวว่าย่ารักและนับหนูเป็นน้องเป็นหลานในไส้เท่านั้นเป็นพอ อย่าน้อยใจไปเลยลูก”
ย่าหลานโผเข้ากอดกันด้วยความรัก ความเข้าใจ น้าแก้วนั่งเช็ดน้ำตาดูอยู่ด้วยความตื้นตันไปด้วย
คืนนี้ อาทิจเขียนจดหมายถึงบ้านเล่าความรู้สึกดีๆ และการต้อนรับที่อบอุ่นของคุณย่าให้ฟัง ทั้งยังเล่าว่ามีคนหนึ่งที่ไม่ยอมรับตน แต่ตนจะพิสูจน์ตัวเอง ไม่ใช่แค่เพื่อให้เขาได้เห็น แต่เพื่อให้ทุกคนที่นี่ได้เห็น โดยเฉพาะคุณย่า ตนจะทำให้คุณย่ายอมรับตนและอภัยให้คุณพ่อให้ได้
ต๊อดมาเห็นอาทิจเขียนจดหมายก็แซวว่าเขียนถึงแฟนหรือ อาทิจบอกว่าตนไม่มีแฟน เพราะชีวิตตนมีแต่เรียนกับทำงานอยู่ในไร่ในสวน แล้วใช้ให้ต๊อดไปหาซื้อวัตถุดิบให้ตนเพื่อมาทำน้ำหมักชีวภาพคืนนี้ ต๊อดถามว่ามีโอทีรึเปล่า
“โอทีไม่มี มีแต่โอถีบ เอาไหม” อาทิจพูดไม่ทันขาดคำ ต๊อดก็วิ่งอ้าวพ้นรัศมีเท้าไปแล้ว
ooooooo
แม้จะได้รับคำปลอบโยนจากคุณย่าจนสบายใจแล้ว ดรุณีก็ยังไม่วายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับอาทิจอยู่ดี เพียงแต่เดินสวนกันก็เผชิญหน้ากันแบบไม่มีใครยอมหลีกทางให้ใคร
วันนี้ อาทิจขออนุญาตคุณย่าไปหาซื้ออะไหล่บางตัวในจังหวัดและแวะส่งจดหมายไปบ้านด้วย คุณย่าเลยให้ดรุณีที่จะไปซื้อหนังสือไปด้วยกันเสียเลยจะได้ไม่ต้องเสียค่าน้ำมันรถและไม่ต้องเปลืองคนขับรถด้วย ดรุณีมีข้อแม้ว่าต้องให้น้าแก้วไปด้วย แต่ไม่ยอมนั่งติดกับอาทิจที่ทำหน้าที่คนขับรถ
กว่าจะตกลงกันได้ก็ต้องให้คุณย่ามาสั่งการให้น้าแก้วมานั่งคั่นกลาง จึงออกเดินทางได้สำเร็จ
ooooooo
อ่าน ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 2
โดย บทประพันธ์ กาญจนา นาคนันทน์ จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 3 โดย ปารดา กันตพัฒนกุลที่มา ไทยรัฐออนไลน์