อ่านนิยายรายวันเรื่อง ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 3
ที่หน้าร้านอะไหล่รถแทรกเตอร์ในเมืองเชียงใหม่ รถสปอร์ตหรูคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด ชายหนุ่มหล่อ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมหรูเก๊กท่านายแบบก้าวลงจากรถมายืนเท่อยู่ข้างรถ เขาคือเวทางค์ ลูกชายผู้ว่าฯประเวทย์ที่อีกด้านหนึ่งของรถ สาวน้อยแสนเปรี้ยว ก้าวลงมาในชุดกระโปรงสั้นโชว์เรียวขาถึงเหนือเข่า เสื้อกล้ามโชว์เนินอกใส่แว่นดำเก๋ไก๋ พอลงมาก็ถอดแว่นมองไปข้างหน้าด้วยท่านางแบบเช่นเดียวกัน เธอคือวิยะดา น้องสาวของเวทางค์นั่นเอง...
วิยะดาชี้ให้พี่ชายดูพวกสาวแท้สาวเทียมที่กำลังกรี๊ดกันสติแตกมองมาทางนี้ เวทางค์พูดอย่างยโสว่า
“ขี้เกียจดู ไปไหนก็มีแต่ผู้หญิงกรี๊ด เบื่อแล้ว ไม่รู้จะกรี๊ดอะไรพี่นักหนา”
แต่ที่แท้บรรดาสาวแท้สาวเทียมเหล่านั้นไม่ได้กรี๊ดเวทางค์ แต่กรี๊ดคนที่อยู่ข้างหลังเขา คืออาทิจนั่นเอง
วิยะดามองเลยไปด้านหลังเวทางค์ เห็นอาทิจเดินเท่เข้าไปในร้านขายอะไหล่แทรกเตอร์ วิยะดากรี๊ดลั่นถามพี่ชายว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร เวทางค์หันมองบอกว่าเข้าร้านแบบนั้นจะเป็นใครได้นอกจากช่างซ่อมรถ ชวนไปกันเถอะตนหิวแล้ว
ที่ร้านอาหารนี่เอง เวทางค์กับวิยะดาเจอดรุณี ต่างทักทายกันด้วยความยินดี สองพี่น้องนึกว่าดรุณีมาทาน อาหารร้านหรู สมเป็นหลานผู้ว่าจริงๆ ดรุณีชี้แจงว่าร้านนี้ไปรับส้มที่สวนเป็นประจำ เขาให้บัตรลด 50% ก็เลยมาใช้บริการ แล้วชวนนั่งด้วยกันตามมารยาท
น้าแก้วถือถุงน้ำปูมาเจออาทิจยืนอยู่หน้าร้านชวนเข้าไปด้วยกัน อาทิจบอกว่าเห็นดรุณีเจอเพื่อนเลยคิดว่ายืนรอข้างนอกดีกว่า แล้วเปลี่ยนใจขอเอาของไปเก็บที่รถ แล้วจะนั่งรอที่นั่นเลย เชิญน้าแก้วตามสบายไม่ต้องห่วงตน
น้าแก้วเข้าไปเห็นเวทางค์กับวิยะดาก็เข้าไปทัก สองพี่น้องพยักหน้ารับอย่างถือตัว น้าแก้วถามดรุณีว่าไม่ทราบจะคุยกันนานไหม เพราะอาทิจไปรออยู่ที่รถ วิยะดาถามทันทีว่าใครคืออาทิจ หล่อไหม ดรุณีตัดบทว่าอย่าสนใจเลย แล้วถามเวทางค์ว่าจะเอาบัตรลด 50% ไว้ใช้ไหม
“ลูกผู้ว่าต้องจ่ายเต็มเท่านั้นจ้ะ ใช้บัตรลด 50 เปอร์เซ็นต์ อายเขาตาย” เวทางค์ทำท่ารังเกียจ ดรุณีเลยเก็บบัตรใส่กระเป๋า หยิบกาแฟและถุงขนมปังเดินออกไปกับน้าแก้ว
ooooooo
ดรุณีเดินมากับน้าแก้ว พอใกล้ถึงรถก็ยื่นให้น้าแก้วเอาไปให้อาทิจ สั่งว่าห้ามบอกว่าตนเป็นคนฝากมาให้ เพราะจริงๆแล้วตนก็ไม่ได้อยากให้ แต่คุณย่าให้เงินมาแล้วเดี๋ยวไปอ้อนคุณย่าว่าไม่มีใครซื้อข้าวซื้อน้ำให้กิน ตนจะเดือดร้อน น้าแก้วได้แต่ยิ้มแล้วส่ายหน้าอย่างเอ็นดู กับความเฮี้ยวของเธอ
พอน้าแก้วไปถึงก็ยื่นทุกอย่างที่ดรุณีใส่มือมาให้อาทิจที่ยืนพิงตึกอยู่ข้างรถบอกว่า มีคนฝากมาให้ อาทิจหันมองดรุณี เธอสะบัดหน้ากระชากเสียงพูดลอยๆ “ไม่ใช่ฉัน!!”
อาทิจถามว่าน้าแก้วซื้อมาหรือ พลางจะยกมือไหว้ขอบคุณ น้าแก้วรีบยกมือห้ามบอกว่าไม่ต้องไหว้ไม่ใช่ น้าแก้ว อาทิจเลยแกล้งพูดว่า “อ๋อ...รู้แล้ว สงสัยจะเป็นเพื่อนชายของคุณณีซื้อให้”
ดรุณีหันขวับชักสีหน้าใส่แต่พูดผ่านน้าแก้วให้บอกผู้ชายคนนั้นว่าอย่าหาเรื่อง ตนมาหาซื้อหนังสือไม่ได้นัดแฟนออกมาคุย อาทิจนึกสนุกเลยพูดผ่านน้าแก้วบ้าง ให้ช่วยอธิบายกับคนนี้ด้วยว่าตนพูดว่า เพื่อนชาย ไม่ได้พูดว่าแฟน
ทั้งสองโต้เถียงกันผ่านน้าแก้วทั้งที่น้าแก้วไม่ได้พูดอะไรเลย กระทบกระแทกกันไปมาจนอาทิจอบรมผ่านน้าแก้วว่า
“ผมว่าน้องคนนี้ของน้าแก้วท่าจะคิดมากนะครับ ผมจะหมายถึงแฟนได้ยังไง ในเมื่ออายุของน้องคนนี้สมควรจะตั้งใจเรียนอย่างเดียว ถ้าเป็นน้องสาวผม ผมจะสอนเขาว่าอย่าริอ่านมีแฟน”
อาทิจเห็นว่ายั่วดรุณีขึ้นก็ยิ่งยั่วจนเธอตอบโต้ไม่ออก น้าแก้วที่ยืนเป็นตัวกลางให้ทั้งสองโต้เถียงกันไปมาตัดบทว่า
“พอได้แล้วค่ะ ถ้าน้องคนนี้กับผู้ชายคนนั้นยืนทะเลาะกันอยู่อย่างนี้ แล้วทางคุณย่านู้นกับคนงานทางโน้นจะได้กินข้าวเย็นกันไหมคะ”
ทั้งคู่เลยหย่าศึก น้าแก้วยื่นกาแฟกับขนมปังให้อาทิจกินรองท้องก่อนเพราะต้องขับรถอีกนาน เขาบอกว่าแวะกินที่ไปรษณีย์มาแล้ว ดรุณีบ่นลอยๆว่ากินแล้วทำไมไม่บอกแต่แรกจะได้ไม่ต้องเปลืองสตางค์ซื้อ เลยถูกอาทิจจับเท็จว่า
“อ้าว...ตกลงนี่คุณเป็นคนซื้อให้ผมเหรอ แหม...ถ้าบอกเสียตั้งแต่แรก ผมกินฉลองศรัทธาไปนานแล้ว จะได้ไม่ต้องทะเลาะกันเป็นเด็กๆต่อหน้าน้าแก้วด้วย”
ดรุณีโกรธจนทำอะไรไม่ถูกเลยค้อนไล่ตั้งแต่น้าแก้วไปถึงอาทิจแล้วตะบึงตะบอนไปขึ้นรถ
อาทิจได้แต่ขำ ที่ดรุณีมาทำให้ตนกลายเป็นเด็กไปด้วย
ooooooo
ประเวทย์กับวิไลลักษณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่กับภรรยา พ่อแม่ของเวทางค์และวิยะดาเป็นครอบครัวที่ใช้ชีวิตหรูหราฟุ้งเฟ้อ ฟู่ฟ่า วันนี้เวทางค์กับวิยะดาที่ไปเรียนกรุงเทพฯกลับมาเยี่ยมบ้าน
เวทางค์กับวิยะดาบอกแม่ว่าเจอดรุณีที่ตลาดเมื่อครู่นี้ วิไลลักษณ์คาดว่าสิ้นเดือนพอดีดรุณีคงเอาเงินมาเข้าธนาคารให้คุณย่า แล้วเตือนลูกทั้งสองว่า ต้องอยู่ติดคุณย่าเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นดรุณีจะได้จากคุณย่าไปหมด ชวนพรุ่งนี้ไปหากันเลยไหม
เวทางค์ไม่ไปเพราะนัดเพื่อนโยนโบว์ไว้แล้ว ส่วน วิยะดาก็ไม่ไปเพราะไปที่นั่นเหมือนอยู่หลังเขา ไม่มีสัญ– ญาณโทรศัพท์ จะบีบีกับใครก็ไม่ได้ ไปถึงคุณย่าก็คุยแต่เรื่องทำไร่ทำสวนน่าเบื่อจะตาย
“เบื่อยังไงก็ต้องไป ท่องเอาไว้สิ เงิน...เงิน...เงิน มรดกคุณย่ามีไม่ใช่น้อยนะ ลูกจะปล่อยให้ยายณีคว้าไปครองคนเดียวหรือจ๊ะ” วิไลลักษณ์หว่านล้อมแกมขู่ ลูกทั้งสองเลยมองหน้ากันเซ็งๆ
ooooooo
วันนี้ อาทิจกับต๊อดไปเล่นน้ำที่น้ำตกกัน แล้วทั้งสองก็ถูกดรุณีแหวใส่ว่าใครอนุญาตให้มาเล่นน้ำในที่ส่วนตัวของตน อาทิจทำหน้างงบอกว่าตนมาอาบน้ำที่นี่ทุกวันตั้งแต่แรกที่มาถึงไม่เห็นมีใครมาอ้างสิทธิ์เลย
ดรุณีไล่ให้ไปเล่นที่ปลายน้ำหรือที่มุมไหนก็ได้ อาทิจไม่อยากมีเรื่องเลยชวนต๊อดหลบไปเล่นอีกฟากหนึ่ง แต่แกล้งพูดดังๆให้เข้าหูดรุณีว่า
“ย้ายมาอาบปลายน้ำก็ดีเหมือนกัน เผื่อมีใครขึ้นไปเล่นน้ำตกชั้นบน หรือไม่ก็พวกช้างที่อาจจะฉี่ระหว่างเดินข้ามน้ำมันก็จะโดนพวกที่อยู่ต้นน้ำก่อน”
ซ้ำต๊อดยังประสานเสียงเป็นปี่เป็นขลุ่ยว่าถ้าเป็นช้างก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นคนนี่สิเรียกว่าฝันร้ายเลยละ
เป็นจังหวะเหมาะพอดีที่มีอะไรเป็นก้อนๆสีทองลอยตุ๊บป่อง...ๆมาสองสามก้อน สองหนุ่มทำเสียงสยองว่ามาแล้ว จิ๋วแจ๋วมองไปร้องบอกดรุณีว่าอึลอยมา ดรุณีร้องอย่างขยะแขยง แต่พอเพ่งมองดีๆกลายเป็นซังข้าวโพด อาทิจกับต๊อดหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็งที่หลอกดรุณีได้สำเร็จ
ดรุณีเจ็บใจที่ถูกหลอก กลับไปฟ้องคุณย่าว่าอาทิจ บุกรุกเข้าไปในที่ส่วนตัวของตน เลยถูกคุณย่าอบรมว่าน้ำตกเป็นที่สาธารณะ เราไม่มีสิทธิ์แสดงความเป็นเจ้าของแม้ว่ามันจะอยู่ในที่ของเราก็ตาม
ooooooo
ที่ร้านขายของชำของทองประศรี สาวเปรี้ยวเปลี่ยวเหงา เธอเป็นอีกคนที่ดีอกดีใจมากเมื่อรู้จากตุ๊ลูกหนี้ที่เป็นคนงานที่สวนส้มของคุณย่าว่ามีหลานชายของคุณย่ามาอยู่ด้วย ถามอย่างตื่นเต้นว่าหล่อไหม
ตุ๊เลยฉวยโอกาสขอเซ็นสบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน แป้งฝุ่น และยาทาเต่าด้วย ทองประศรีถามตุ๊ว่าแล้วเมื่อไรจะพาไปรู้จักหลานชายคุณย่า เสนอว่าพรุ่งนี้เลยได้ไหม
“จ้ะ...แต่สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน แป้งฝุ่น แล้วก็ยาทาเต่าน่ะขอเดี๋ยวนี้เลยนะ” ตุ๊เล่นทีเผลอเลยได้เซ็นของไปอีกเพียบ
ooooooo
วันนี้คุณย่าทำข้าวเหนียวมะม่วง ดรุณีชมว่าหน้าตาน่ากินจัง คุณย่าบอกว่าใกล้เสร็จแล้วให้ไปตามอาทิจมากินข้าวก็คงเสร็จพอดี ดรุณีบอกว่าอาทิจฝากจิ๋วแจ๋วบอกมาแล้วว่าจะกินกับคนงาน เพราะอยากซ่อมแทรกเตอร์ให้เสร็จ คุณย่าเลยเอาใส่ปิ่นโตให้ดรุณีขี่จักรยานไปส่ง มีทั้งกับข้าวและข้าวเหนียวมะม่วง
ดรุณีถึงกับเซ็ง เพราะคิดว่าวันนี้ไม่ต้องไปเป็นแจ๋วของอาทิจแล้วเชียว จำต้องเอาปิ่นโตแขวนที่แฮนด์จักรยานปั่นไปให้
อาทิจทำงานเพลินจึงมาเข้าแถวรับอาหารเป็นคนสุดท้าย ปรากฏว่ากับข้าวหมดเหลือแต่ติดก้นหม้อ เขาบอกน้าแก้วว่าไม่เป็นไรตนกินได้ จิ๋วแจ๋วรีบบอกว่าอย่าเพิ่งกิน เพราะดรุณีกำลังเอาปิ่นโตมาส่ง อาทิจเลยต้องหิ้วท้องรอทั้งที่หิวมาก
ดรุณีขี่จักรยานมาหลับตาสูดอากาศยามเย็นอย่างชื่นอกชื่นใจจนเกือบชนรถกระบะขนส้มที่สวนมา หักหลบเลยล้มทั้งคนทั้งรถ แต่น่าอัศจรรย์ที่ปิ่นโตทั้งเถากลับตั้งอย่างดีที่พื้น แทนที่จะดีใจ ดรุณีกลับคิดแก้เผ็ด
เมื่อไปถึงก็ทำทีเดินกะเผลกๆ จูงจักรยานเข้าไปบอกว่าจักรยานล้มอาหารในปิ่นโตหกหมด อาทิจหน้าแห้งเพราะหิวจัด ดรุณีแอบยิ้มที่แกล้งอาทิจได้ แม้แค่เพียงอาหารมื้อเดียวก็สะใจ๊...สะใจ...
ooooooo
วันนี้ วิไลลักษณ์พาเวทางค์กับวิยะดามาหาคุณย่าที่บ้าน ปากหวานทั้งแม่ทั้งลูกว่า คิดถึงคุณย่ามาก ถึงมากที่สุดในโลก คุณย่าขอบใจที่คิดถึงคนแก่ ถามถึงเรื่องเรียนของสองคน วิไลลักษณ์ต้องกล้อมแกล้มตอนแทนลูกว่า “ก็ดีค่ะ...”
คุณย่าบอกว่าดีแล้ว เพราะเรียนเก่งๆทางโรงเรียนก็มีทุนให้ อย่างดรุณีก็ได้รับทุนมาตั้งแต่อยู่ ม.3 ย่าแทบไม่ต้องช่วยออกอะไรให้เลย ช่วยแค่ตำราเรียนนิดๆ หน่อยๆ ปีละไม่กี่พัน ถามว่าแล้วสองคนล่ะเป็นอย่างไร
เวทางค์บอกว่าของตนปีละเป็นล้าน คุณย่าตกใจว่าทำไมเยอะอย่างนี้ วิไลลักษณ์แก้ให้ว่าแค่เกือบล้านเท่านั้น เพราะต้องเสียค่าเล่าเรียน ค่าคอนโดฯ ค่าน้ำมัน ค่ากินอยู่ แล้วยังมีตำรากับอุปกรณ์การเรียนอีก วิยะดาแทรกขึ้นว่า ถ้าไม่ดื่มไม่เที่ยวก็อาจจะประหยัดกว่านี้ คุณย่าเลยถามว่า แล้วเธอล่ะยังช็อปของแบรนด์เนมตลอดใช่ไหม
วิไลลักษณ์รีบเปลี่ยนเรื่อง ถามว่าแล้วดรุณีหายไปไหน พอคุณย่าบอกว่า เอาปิ่นโตไปส่งอาทิจลูกของประวิทย์พี่ชายประเวทย์ ที่เรียนจบเกษตรแล้วอยากทำไร่ ทำสวน ประวิทย์เลยส่งมาอยู่ที่นี่
วิยะดาถามทันทีว่าหล่อไหม ส่วนวิไลลักษณ์ก็อยากให้เรียกมารู้จัก เพราะมีคุณอาเป็นถึงผู้ว่าฯเผื่อมีอะไรจะได้พึ่งพาได้
คุณย่าหน่ายๆกับสามแม่ลูกที่นิสัยถอดกันออกมาไม่มีผิด
ooooooo
เมื่อไม่มีกับข้าว อาทิจเลยตำส้มตำกินกับคนงาน อย่างเอร็ดอร่อย ดรุณีหมั่นไส้ที่ตั้งใจแกล้งอาทิจแต่เขากลับได้กินของชอบ เลยจะกลับ พอดีจิ๋วแจ๋วมาบอกอาทิจว่าคุณย่าให้มาตาม เพราะวิไลลักษณ์มาที่บ้าน อาทิจทำหน้างงๆ เพราะไม่รู้ว่าวิไลลักษณ์เป็นใคร
พออาทิจมาถึง วิยะดาถึงกับกรี๊ดออกมาด้วยความดีใจที่เขาคือชายหนุ่มที่ตนเห็นที่ตลาดวันนั้น เพ้อว่าไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเป็นญาติกัน คุณย่าแนะนำลำดับญาติ แล้วก็นับอายุกัน เวทางค์แก่กว่าอาทิจเกือบ 2 ปี คุณย่าบอกให้อาทิจเรียกพี่ เวทางค์รีบบอกว่าไม่ต้องเรียกพี่หรอก ฟังดูแก๊แก่...เพื่อนในห้องเรียนอายุเท่าอาทิจก็มีถมไป
ส่วนวิยะดาพอได้ช่องก็รีบแนะนำชื่อเสียงเรียงนาม น้ำหนัก ส่วนสูง ส่วนโค้ง ส่วนเว้าของตัวเองครบถ้วน ถูกวิไลลักษณ์เบรก แล้วถามอาทิจว่าเทือกเถาเหล่ากอมาจากไหนหรือ
ถูกคุณย่าเบรกว่าจำเป็นด้วยหรือ มีผลต่อการทำงานหรือเปล่า วิไลลักษณ์ยืนยันว่าจำเป็น เพราะอุปนิสัยเกี่ยวพันกับสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้วย ยกตัวอย่างเวทางค์ว่าเกิดที่ลอนดอนเลยดูสมาร์ท โอ่อ่า ถอดแบบผู้ดีอังกฤษมาทั้งดุ้น
“ของผมก็ ดอน ครับ อุดรฯ พ่อผมไปรับราชการที่นั่นพอดี” เวทางค์สอดขึ้นขำๆว่าอุดรราชสีมาน่ะเหรอ เลยถูกดรุณีกัดยิ้มๆว่า
“แหม...พี่เว กลับจากอังกฤษมาเป็นสิบปีแล้ว ยังสับสนเหมือนเพิ่งมาถึงเมื่อเช้าเลยนะคะ ไม่มีหรอกค่ะอุดรราชสีมาน่ะ มีแต่อุดรธานีค่ะ”
เวทางค์ตะแบงว่ามันก็คล้ายๆกันแหละ แล้วพูดข่มเชิงดูถูกอาทิจต่างๆนานาว่าพูดลาวได้ใช่ไหม ชอบกินปลาร้าใช่ไหม ทำท่ารังเกียจ ทั้งที่ตัวเองและแม่ตักส้มตำ ปลาร้าที่อาทิจตำมาฝากคุณย่ากินเอ๊า...กินเอา...
ส่วนวิยะดาก็ตั้งหน้าตั้งตาฉอเลาะอาทิจ ถามเรื่องซ่อมรถแทรกเตอร์ เขาบอกว่าเหลือเปลี่ยนน็อตอีกไม่กี่ตัวคาดว่าเย็นนี้คงเสร็จ วิยะดาจะอยู่เป็นกำลังใจเขา ถูกดรุณีปรามาสว่าอย่าดีกว่า เผื่อซ่อมเสร็จแล้วอาจจะสตาร์ต ไม่ติดก็ได้ เดี๋ยวอาทิจจะหน้าแตกเปล่าๆ แต่ในใจมีแผนอะไรบางอย่างแล้ว
“ปล่อยให้พี่เขาทำคนเดียวเถอะ เขาจะได้มีสมาธิเต็มที่ เดี๋ยวเราค่อยไปชื่นชมตอนมันใช้งานได้แล้วดีกว่า” คุณย่าแทรกขึ้นแล้วหันไปบอกอาทิจว่า “ย่าเป็นกำลังใจให้พ่ออาทิจนะ ย่าเชื่อว่าพ่อต้องทำได้”
เห็นคุณย่าเมตตาอาทิจมาก วิไลลักษณ์จิกตามองอย่าง ริษยา ส่วนดรุณีก็นึกขวางที่คุณย่าเอ็นดูอาทิจจนออกนอกหน้า
ooooooo
ฝ่ายทองประศรีโดยการสมรู้ร่วมคิดของตุ๊ พากันมาแถวโรงซ่อมแทรกเตอร์ ทองประศรีเอาห่วงฮูลาฮูปมาด้วย หมายมาส่ายยั่วอาทิจ ตุ๊เข้าไปสอดแนมก่อน ถ้าเห็นอาทิจอยู่ในนั้นก็จะส่งสัญญาณให้ทอง-ประศรีส่ายเข้าไปหา
ระหว่างรอต่างสัญญาณ ทองประศรีก็ซ้อมส่ายไปพลาง บังเอิญต๊อด อึ่ง กับพัน สามเกลอจอมซ่าเดินมาเจอ เลยแถเข้าไปแซว พอรู้ว่าทองประศรีจะมาเต๊าะอาทิจ เลยแกล้งส่ายเข้าหาทั้งที่ไม่มีห่วง ทำเอาทองประศรีสยองกับท่าอุบาทว์ของทั้งสาม จึงวิ่งฝ่าวงล้อมออกไป
ที่อีกมุมหนึ่ง ดรุณีย่องเข้าไปในห้องซ่อมแทรกเตอร์ แอบไปดูถุงใส่อะไหล่เห็นน็อตอยู่หลายตัวก็จ้องตาเป็นประกาย
“ถ้าน็อตหายไปสัก 2-3 ตัว คงทำไม่ได้มังคะคุณย่า เอ...หรือจะหายไปทั้งถุงดี อึ้ม...ปิดประตูตายเลยดีกว่า ทีนี้ล่ะนายอาทิจ นายได้หน้าแตกแน่” ว่าแล้วดรุณีก็เอาถุงอะไหล่น็อตใส่กระเป๋าสะพายวิ่งออกไป พลันก็ชะงักเมื่ออาทิจเดินมาพอดี
ที่จริงอาทิจไม่ได้เฉลียวใจอะไรเลย แต่ดรุณีมีพิรุธ พออาทิจบอกให้หยุดอยู่นิ่งๆก็รีบแก้ตัวพัลวัน ที่แท้อาทิจเห็นแมลงสาบที่พื้นแถวเท้าเธอ พอเห็นเป็นแมลงสาบเท่านั้น ดรุณีตกใจร้องกรี๊ด กระโดดกอดอาทิจแน่น ทำเอาอาทิจใจเต้นตูมตามจนลืมแมลงสาบไปเลย
พอรู้ตัว ดรุณีเขินจนแก้มแดง ทำเป็นบ่นกลบเกลื่อนว่า ต้องบอกคุณย่าให้คนงานมาทำความสะอาดแล้วเพราะแมลงสาบมากเหลือเกิน เธอเขินจนเดินสะดุดถังพลาสติกใส่น้ำจนเซ เลยยิ่งเขิน สุดท้ายวิ่งอ้าวออกไป อาทิจมองตามยิ้มๆ แต่เกิดอาการใจสั่น ร้อนวูบวาบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...
ดรุณีเพิ่งกลับมาถึง ไม่ทันนั่ง จิ๋วแจ๋วก็วิ่งมาบอกอย่างตื่นเต้นว่า อาทิจให้มาบอกคุณย่าว่าซ่อมแทรกเตอร์เสร็จแล้ว คุณย่าดีใจมาก ส่วนดรุณีนึกกระหยิ่มในใจว่าเดี๋ยวก็รู้ จะออกหมู่หรือจ่า
เมื่อพากันไปดูที่โรงซ่อม ทีแรกสตาร์ตไม่ติด ทำเอากองเชียร์ใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆ แต่พอลองอีกทีคราวนี้เครื่องยนต์ครางกระหึ่ม ทุกคนสีหน้าผ่อนคลายยิ้มแย้ม มีแต่ดรุณีที่นิ่งอย่างสงสัยว่าเป็นไปได้ไง??
ที่แท้ถุงน็อตอะไหล่ที่เธอไปขโมยมาเป็นถุงน็อตอะไหล่ที่ต๊อดซื้อมาเพื่อซ่อมรถจักรยานให้เธอนั่นเอง! ดรุณีเซ็งจนบอกไม่ถูก สุดท้ายก็ทำหน้าตาย คืนถุงอะไหล่ให้ต๊อด อ้างว่าตนเห็นหล่นอยู่เลยหยิบมา คืนต๊อดแล้วรีบจ้ำอ้าวไปเลย
พอมายืนสมทบกับคุณย่าดูอาทิจทดลองเครื่อง คุณย่าใช้ให้ไปเอาน้ำดื่มบ้านคนงานมาให้สักขัน พอดรุณีเดินไป คุณย่าก็เรียกอาทิจมาหา ดรุณีเอาขันน้ำมายื่นให้คุณย่า กลายเป็นคุณย่าให้ส่งต่อให้อาทิจดื่มแก้กระหาย ดรุณีส่งน้ำให้อาทิจท่าทางยังเขินๆ เมื่อนึกถึงเรื่องแมลงสาบที่ห้องซ่อมแทรกเตอร์
ขณะกำลังเขินกันอยู่นั่นเอง วิยะดาฉวยขันจากดรุณีส่งให้อาทิจแทน เธอดี๊ด๊าความหล่อของอาทิจจนดรุณียิ่งหมั่นไส้ชายหนุ่มเป็นทวีคูณ
ooooooo
วิไลลักษณ์มีแผนที่จะให้เวทางค์จับคู่กับดรุณี เพราะรู้ว่าคุณย่าเมตตาดรุณีและจะต้องยกสมบัติให้มากเป็นพิเศษ ส่วนวิยะดาที่ขอจับคู่กับอาทิจก็ถูกแม่เบรกว่าอาทิจเป็นพี่ชาย วิยะดาโต้ว่าดรุณีก็นับญาติกับเราได้เหมือนกัน
“ญาติจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ หน้าตาไม่เห็นเหมือนคุณปู่ทวดเลยสักนิด แต่จะใส่ใจไปทำไม สมัยนี้แค่มีเงินอย่างเดียวก็พอแล้ว เราต้องร่วมมือกันให้ตาเวกับยายณีลงเอยกันให้ได้นะลูก”
ประเวทย์เตือนว่า จะทำอะไรก็อย่าให้ตนต้องมีปัญหากับคุณแม่ก็แล้วกัน แล้วเดินออกไปอย่างไม่อยากยุ่งด้วย
แม้อาทิจจะถูกดรุณีก่อกวนและแผลงฤทธิ์ใส่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ทำให้เขาหวั่นไหวไขว้เขวกับความมุ่งมั่นที่จะทำการผลิตในที่ดินที่คุณย่าอนุญาต อีกทั้งได้กำลังใจจากคุณย่าทั้งคำแนะนำ สนับสนุนกำลังคนและทุนทรัพย์ แต่ทุกอย่างคุณย่าจะให้ทำอย่างเป็นระบบ มีระเบียบ โดยเฉพาะวินัยในด้านการเงิน คุณย่าสอนว่า
“จะทำการค้าต้องละเอียดรอบคอบ ไม่ใช่ตระหนี่ถี่เหนียว ย่ายอมเสียเงินเลี้ยงคนงานเป็นหมื่นเป็นแสนได้ แต่จะไม่ยอมเสียแม้แต่บาทเดียวเพราะความสะเพร่าของตัวเอง”
“ผมจะจำคำสอนของคุณย่าไว้ให้ขึ้นใจครับ” เป็นคำตอบที่เหมือนสัญญาที่อาทิจให้แก่คุณย่า
เพราะรู้คุณค่าของการกินผักและคุณย่าก็ชอบทานสลัด มาก อาทิจวางแผนปลูกผักหลายอย่าง ทั้งคุณย่าและน้าแก้ว บอกให้ดรุณีช่วยอาทิจทำสวนผักด้วย เธอบอกว่าได้ แต่จะใช้งานฟรีๆไม่ได้ อาทิจจึงเสนอขอจ่ายค่าแรงเป็นผักแทน
นอกจากอาทิจจะช่วยงานคุณย่าและทำสวนผักของตัวเองแล้ว เขายังตักเตือนติติงพวกต๊อด พัน อึ่ง ที่คึกคะนองลากเขาไปถ้ำมองหนังสด ว่าไม่ละอายใจบ้างหรือ ขู่ว่าถ้ายังขืนทำแบบนี้อีกจะบอกคุณย่าให้ตัดเงินเดือน
อ่าน ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 3
โดย บทประพันธ์ กาญจนา นาคนันทน์ จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 3 โดย ปารดา กันตพัฒนกุลที่มา ไทยรัฐออนไลน์