หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อ่านสามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 10

อ่านสามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 10
ปรานต์เดินเข้ามาในร้านอาหารสุดหรูริมทะเลระยองพร้อมกับเกียว เขากวาดตามองเข้าไปในร้านอย่างหวั่นใจ เพราะนึกไปถึงเงินในกระเป๋า

“ร้านนี้เหรอครับ” ปรานต์ถาม
“จ้ะ...อร่อยมาก โดยเฉพาะหอยนางรม สดมั่กๆ” เกียว ยิ้มระรื่นอย่างมีนัยยะ
“เดี๋ยวพี่จะสั่งให้กินหลายๆ ตัว รับรองว่าต้องติดใจ” เกียวพูดต่อพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม
ปรานต์มยิ้มรับแห้งๆ ในใจแอบกังวล
“ดีครับ”

“ไปจ้ะ พี่จองโต๊ะพิเศษไว้ให้แล้ว”
เกียวเดินนำเข้าไปในร้านอาหารทะเลอย่างคุ้นเคย ปรานต์พยายามคิดหาทางออกให้กับตัวเองกับอาหารมื้อนี้ ปรานต์นึกอะไรบางอย่างได้
“เออ...พี่เกียวครับ” ปรานต์เรียก เกียวหันมา ปรานต์พูดต่อ
“คือ ผมลืมโทรศัพท์ไว้ในรถ เดี๋ยวผมตามเข้าไปนะครับ”
“จ้ะ พี่ไปสั่งอาหารรอนะ ดื่มไวน์มั้ย”
ยังไม่ทันที่ปรานต์จะตอบ เกียวด่วนสรุปให้ทันที
“พี่สั่งไว้เลยนะ”
ปรานต์จำใจฝืนยิ้ม
“ครับ ๆ เต็มที่เลยครับพี่”
เกียวยิ้มพอใจเดินเข้าไปในร้านทันที
เพียงแค่เกียวคล้อยหลัง ปรานต์รีบวิ่งไปดูเมนูอาหารเล่มหรูที่วางตั้งไว้หน้าร้าน ปรานต์เห็นราคาแล้วถึงกับผงะ
“เจ๊นี่…จัดหนักจริงๆ เงินไม่พอแน่เลย บัตรเครดิตก็รูดเต็มไปแล้ว”
ปรานต์บ่นอุบ ในใจกำลังตั้งสติ คิดว่าจะเอายังไงดี ห้วงเวลานั้นปรานต์คิดถึงอรุณศรีขึ้นมา

ที่โรงแรมวังน้ำเขียว กิจกรรมช่วงกลางคืนยิ่งสนุกสนาน อรุณศรียืนคุมอยู่ข้างเวที ส่วนบนเวทีเบญลี่กำลังดำเนินรายการอยู่อย่างสนุกสนาน ผู้เข้าแข่งขันนั่งหันหลังชนกันอยู่สองคน
“ต่อไป..เป็นคู่สุดท้ายแล้วนะคะ จากนั้นเราจะรู้กันว่าใครจะเป็นผู้ได้ชนะได้รับรางวัลของบอส...ของเรา”
กริชชัยที่ร่วมชมอยู่ในบริเวณงานยิ้มนิดๆ
“คำถามมีอยู่ว่า....”
จังหวะนั้นเสียงโทรศัพท์มือถืออรุณศรีสั่นเพราะมีสายเข้า อรุณศรีหยิบมาดู หน้าจอขึ้นชื่อปรานต์
“ระหว่างคุณพี่ทั้งสองคน...ใครที่ “ตามใจลูก” มากที่สุด” เสียงเบญลี่พูดขึ้นเริ่มกิจกรรมใหม่บนเวที
ผู้เข้าแข่งขันชูป้ายขึ้น ผู้ชายต่างชูว่า “เธอเท่านั้น” ผู้หญิงก็ชูว่า “เขาคนเดียว” ต่างคนต่างโบ้ยกันสุดฤทธิ์ เล่นเอาคนในงานขำกันตรึม
“สรุปว่า..ไม่มีใครยอมรับชิมิคะ” เบญลี่แซว
กริชชัยยิ้มนิดๆ แล้วก็หันไปมองอรุณศรีที่กำลังเลี่ยงไปคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเครียด ระหว่างนั้นเสียงเบญลี่ดังมาจากเวทีอย่างต่อเนื่อง
“ตอบไม่ตรงกัน..ไม่ได้คะแนนค่า”
เสียงปรบมือดังขึ้น
กริชชัยมองตามอรุณศรีด้วยความแปลกใจ และรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา

ปรานต์คุยโทรศัพท์อยู่ข้างรถ บริเวณหน้าร้านอาหารด้วยน้ำเสียงแอบหงุดหงิด
“ถ้าแอ๊วไม่เชื่อ นั่งรถมาดูเลยมั้ยล่ะ จะได้รู้ว่าไม่ได้โกหก รถปรานต์เสียจริงๆ ปรานต์ต้องให้อู่มาลากรถไปซ่อม เงินก็ไม่มี”
อรุณศรียังยืนคุยโทรศัพท์อยู่อีกมุมหนึ่ง ส่วนงานบนเวทียังดำเนินต่อไปอย่างสนุกสนาน
“ไม่ใช่ว่าจะไม่เชื่อ แต่แอ๊วทำงานอยู่ ออกไปโอนเงินให้ตอนนี้ไม่ได้ เดินออกมาคุยโทรศัพท์นี่ก็แย่มากพอแล้วนะ”
ปรานต์น้ำเสียงหงุดหงิดกว่าเดิม
“อ๋อ เห็นงานดีกว่าปรานต์หรือไง”
อรุณศรีส่ายหน้าอย่างเหนื่อยและหน่ายใจ ปรานต์ไม่ยอมหยุดยังใส่ต่อ
“ดี… ถ้าไม่มีเงินจ่ายค่าซ่อม ปรานต์ก็กลับกรุงเทพฯ ไม่ได้ นั่งรอความตายอยู่แถวนี้ก็แล้วกัน”
อรุณศรีสุดจะทน สวนกลับไปในทันที
“ถ้าแอ๊วไม่โอนเงินไปให้ ถึงกับจะต้องตาย ก็เชิญ! แค่นี้นะ”
“แอ๊วๆ อย่าเพิ่งวางสายนะ”
ปรานต์ร้องเรียก อรุณศรีชะงัก ใบหน้าเซ็งสุดขีด ปรานต์รีบพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงและตามด้วยลูกอ้อนตามฟอร์มเดิม
“โอเคๆ ปรานต์รอแอ๊วทำงานให้เสร็จก่อนก็ได้... ทนร้อน ทนยุงกัดหน่อยคงไม่เป็นไร”
ปรานต์รีบพูดต่อด้วยความกระตือรือร้น
“แอ๊วโอนมาให้ปรานต์สักสามหมื่นนะ “
อรุณศรีตาโตด้วยความตกใจ
“สามหมื่น!! แอ๊วไม่มีหรอก ในบัญชีมีอยู่แค่สองสามพันเอง”
ปรานต์ชักสีหน้าทันที
“ไหน บอกว่ามีเป็นแสน หรือว่าไม่เชื่อใจปรานต์ มี แต่ไม่อยากให้ใช่มั้ย”
อรุณศรีถอนใจเบาๆ
“เงินพวกนั้นมันอยู่ในบัญชีฝากประจำ ไม่มีเอทีเอ็มโอนให้ไม่ได้ ถ้าปรานต์จะเอาไปซ่อมรถ วันนี้ตอนนี้ แอ๊วก็มีให้แค่สองพัน”
น้ำเสียงปรานต์ลืมตัวโวยวายใส่
“แค่สองพันมันจะไปพออะไร? แอ๊วยืมคนแถวนั้นแล้วโอนมาให้หน่อยสิ”
อรุณศรีปากสั่นด้วยความโกรธ พลางสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อควบคุมสติอารมณ์ก่อนจะตอบกลับไปอย่างเฉียบขาด
“แอ๊วมีให้ปรานต์เท่าที่บอกไป และจะไม่ยืมใครทั้งนั้น เพราะ “เกรงใจ” ไม่อยากรบกวนคนอื่น แค่นี้นะ แอ๊วต้องกลับไปทำงานต่อ” อรุณศรีวางสายไปเลยด้วยความโกรธ
“แอ๊ว แอ๊ว...เดี๋ยวก่อน”
ปรานต์มองเข้าไปในร้านสุดหรู ก่อนจะตัดสินใจกดข้อความส่งไปหาอรุณศรี
“ถ้าจะโอนมาแค่สองพัน ก็ไม่ต้องโอนมาเลยนะ ไม่มีประโยชน์”
อรุณศรีกดอ่านข้อความด้วยความเหนื่อยใจ ก่อนจะกดลบทิ้งด้วยความเบื่อหน่าย
อรุณศรีน้ำตาซึมๆ ไม่เข้าใจว่า ทำไมปรานต์ถึงเป็นคนแบบนี้ แตกต่างจากเมื่อก่อนเป็นคนละคน

ทันใดนั้นเสียงกริชชัยก็ดังขึ้น
“ผมให้ยืม”
อรุณศรีตกใจหันขวับมา เห็นกริชชัยยืนถือผ้าเช็ดหน้ายื่นมาให้
“สะอาด ผมยังไม่ได้ใช้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันยังไม่จำเป็นต้องใช้”
อรุณศรีปฏิเสธเงินที่กริชชัยยื่นให้อย่างสุภาพ
“ถ้าจำเป็นเมื่อไหร่ก็บอกนะ”
กริชชัยเก็บธนบัตรนั้นมาใส่กระเป๋าตามเดิม
“แล้วนี่...มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” กริชชัยถามต่อ
อรุณศรีนิ่ง เพราะไม่แน่ใจว่ากริชชัยได้ยินอะไรบ้างขณะสนทนากับปรานต์เมื่อครู่ กริชชัยเหมือนจะรู้ตัว จึงรีบบอกแบบมีฟอร์ม
“ผมไม่ได้ตั้งใจแอบฟัง แค่ผ่านมาได้ยินโดยบังเอิญ ตกลงว่า...มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“มีค่ะ”
กริชชัยรอฟังอยู่อย่างตั้งใจ อรุณศรีตอบกริชชัยอย่างสุภาพ และเกรงใจ
“แต่มันเป็นปัญหาส่วนตัว ฉันขอแก้ไขเอง ขอโทษที่ทำให้ต้องเสียเวลางาน ฉันขอตัวกลับไปทำงานต่อก่อนนะคะ”
อรุณศรีเลี่ยงเดินกลับไปบริเวณที่จัดงานอย่างสุภาพ กริชชัยนิ่งคิด ได้แต่มองตามไปด้วยความเป็นห่วง

“ขอเชิญคุณกริชชัย บอสสุดหล่อ สุด gorgeous ของเรามอบรางวัลให้กับผู้ชนะการแข่งขันด้วยคร๊า”
เสียงเบญลี่ที่ยืนอยู่กลางเวทีพูดแทบเป็นตะโกนออกมา
จังหวะนั้นเสียงปรบมือก็ดังกระหึ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กริชชัยขึ้นไปมอบกุญแจรถอันมหึมาให้ครอบครัวผู้ชนะ
“เห็นรถเบนซ์สปอร์ตราคาสิบสองล้านที่จอดอยู่หน้าโรงแรมมั้ยคะ คันนั้น ไม่ใช่ค่ะ แต่รางวัลของเราคือ...คันนี้ค่ะ”
เบญลี่ผายมือไปที่รถมอเตอร์ไซค์คันเก๋ที่จอดอยู่อย่างสวยงาม ข้างๆเวที คนที่ได้รับรางวัลยิ้มพอใจ ผู้ร่วมงานปรบมือชอบใจ
“เชิญลงไปชื่นชมได้เลยค่ะ ลูบได้ คลำได้ ขี่กลับบ้านก็ได้นะคะ เชิญค่ะ”
อรุณศรีเดินพาผู้ได้รับรางวัลลงจากเวทีไป กริชชัยกำลังจะลงจากเวที แต่เบญลี่เรียกไว้
“โอ๊ะๆๆ เดี๋ยวค่ะท่านประธานที่เคารพ”
กริชชัยหันมาตามเสียงของเบญลี่
“กรุณาอยู่ต่ออีกสักครู่นะคะ คือว่า…ไหนๆ คุณกริชก็หลวมตัวขึ้นมาบนเวทีแล้ว ขอความกรุณาร้องเพลงให้พวกเราฟังสักเพลงนะคะ ใครอยากฟัง...ปรบมือคร๊า” เบญลี่พูดต่อ
กริชชัยยืนเขินอยู่ ไม่คิดว่าเบญลี่จะจู่โจมโดยไม่มีในสคริปต์เช่นนี้ คนในงานปรบมือเชียร์อัพ กันอย่างสนุกสนาน ลุ้นและรอฟังเสียงเพลงของกริชชัย
กริชชัยจำใจพยักหน้ารับ เบญลี่รีบส่งไมค์ให้แล้วลงจากเวทีไป

ระหว่างที่กริชชัยยืนอยู่บนเวที และคิดว่าจะร้องเพลงอะไรดี กริชชัยแอบมองไปที่อรุณศรีซึ่งกำลังอธิบายเรื่องรถให้ผู้ได้รับรางวัลฟัง
กริชชัยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันไปกระซิบบอกชื่อเพลงกับนักดนตรี นักดนตรีพยักหน้ารับและขึ้นอินโทรเพลงเหนื่อยไหม..
กริชชัยยืนอยู่บนเวทีแบบเขินๆ อายๆ เล็กน้อย ผู้มาร่วมงานปรบมือกันเกรียวกราว อรุณศรียืนดูแลลูกค้าที่กำลังชื่นชมรถอยู่ ไม่ได้สนใจกับการร้องเพลงของกริชชัยบนเวทีมากนัก
เสียงกริชชัยเริ่มต้นร้องเพลง ด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น ฟังสบาย ไพเราะรื่นหู
“เจอะเธอทุกๆ ครั้ง พร้อมรอยน้ำตากับความทุกข์ที่มีมา เพื่อมาระบาย เมื่อคนที่เธอรัก เขาไม่เคยแคร์และเหมือนโดนเขารังแก อยู่ร่ำไป..”
หูของอรุณศรีเกิดไปสะดุดกับเสียงเพลงที่ดังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนต้องหันหลังไปฟัง กริชชัยยังคงร้องเพลงต่อ
“ไม่อยากจะถามเธอ ให้เสียบรรยากาศ ว่ารักตัวเขามากมายสักเพียงไหน มีเพียงคำถามเดียว ที่ฉันไม่เข้าใจ สิ่งที่ฉันนั้นห่วงใยและอยากรู้...”
อรุณศรีถึงกับค่อยๆ หันไปที่เวที...เพื่อฟังอย่างตั้งใจ
“เหนื่อยไหม สิ่งที่เธอทำอยู่ สิ่งที่ฉันได้คอยเฝ้าดู ยิ่งรู้ยิ่งห่วงใย เหนื่อยไหม กับที่ต้องร้องไห้ ให้กับเขาที่เธอปักใจ แต่เขาไม่เคยรับรู้เลย”
กริชชัยร้องพลางหันมาที่มองอรุณศรี

อรุณศรีรู้สึกเหมือนกริชชัยกำลังร้องเพลงนี้ให้ตัวเอง อรุณศรีถึงกับยืนอึ้งไปชั่วขณะ
กริชชัยยังร้องเพลงต่อ และชายตามองมายังอรุณศรีอยู่อย่างเดิม
“กับคนที่เธอรัก รักด้วยน้ำตา ช่างดูเหมือนมีคุณค่ากว่าใครทั้งนั้น ส่วนคนที่รับรู้ รักเธอมากมาย กับเหมือนเป็นที่ระบาย อย่างเพื่อนกัน”
หัวใจของอรุณศรีเต้นเร่งจังหวะขึ้นเล็กน้อย กริชชัยมองอรุณศรีอย่างมีความหมาย
เบญลี่มองเจ้านายแอบยิ้มกริ่ม พลางนึกในใจว่า ‘กรูว่าแล้ว’
อรุณศรีรู้สึกตัวว่าเผลอยืนมองกริชชัยนานเกินไป จึงค่อยๆ ถอนสายตาหันมาสนใจลูกค้าเหมือนเดิม กริชชัยยังร้องเพลงต่อเนื่อง
“ไม่อยากจะถามเธอ ให้เสีย บรรยากาศ ว่ารักตัวเขามากมายสักเพียงไหน มีเพียงคำถามเดียว ที่ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันนั้นห่วงใยและอยากรู้ ...”
อรุณศรียืนหันหลังให้กริชชัย ไม่กล้าสู้ตา กริชชัยยังคงร้องเพลงต่อไป และมองมาที่อรุณศรีเป็นระยะๆ แม้
เธอจะไม่หันมามองอีก..แต่กริชชัยก็ร้องจนจบเพลง
แววตาที่กริชชัยมองมาที่อรุณศรีเหมือนอยากจะถามตามความหมายของเพลงนี้ อรุณศรียืนนิ่งอึ้ง....น้ำตาเกือบจะซึมออกมาแต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้... ตอบตัวเองไม่ได้

ราคาอาหารทะเลมื้อนั้น เกียวกรีดธนบัตรใบละพัน ประมาณ 7-8 ใบวางบนถาดเก็บเงิน
“ไม่ต้องทอนนะจ้ะ”
พนักงานก้มรับอย่างสุภาพและรีบเดินไป
ปรานต์ตีหน้าเศร้าใส่เกียว
“ผมต้องขอโทษพี่เกียวจริงๆ นะครับ ไม่รู้กระเป๋าสตางค์ไปหล่นอยู่ที่ไหน หาทั่วรถแล้วก็ไม่เจอ”
“เป็นไรจ้ะ…เราจะได้เจอกันแค่ครั้งเดียวซะทีไหน... เอาไว้คราวหน้า พี่ให้ปรานต์เลี้ยงพี่แน่” เกียวยิ้มกว้าง
“ได้เลยครับ...คราวหน้า ผมไม่พลาดแน่” ปรานต์ยิ้มรับที่แก้ปัญหาเรื่องเงินในวันนี้ไปได้เปลาะหนึ่ง
“จะว่าไป...คืนนี้มันก็ดึกมากแล้วนะ พี่ว่าปรานต์ไม่อย่าเพิ่งขับรถกลับกรุงเทพฯ เลย อันตราย นอนค้างที่นี่สักคืนก็แล้วกัน เดี๋ยวพี่...” เกียวส่งสายตาทันที
“เปิดโรงแรมให้ พักผ่อนให้เต็มที่ ตื่นมาจะได้ขับรถกลับสบายๆ” เกียวพูดต่อ
ปรานต์ยิ้มรับทันทีอย่างรู้ความหมาย
“ถ้าเป็นความต้องการของพี่...ผมก็...ไม่มีปัญหาครับ” ปรานต์พูดหยอดทันที เกียวหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์ไวน์ ยิ้มกว้างอย่างถูกใจ

โรงพยาบาลสัตว์ตอนกลางคืน ธีธัชวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว มองซ้ายมองขวาหน้าตาเลิ่กลั่ก และเบรกที่ใต้ตึก เมื่อมองไปเห็นลำเภากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่
“นี่ยัยหนูตะเภา เธอจะบ้าหรือเปล่า มานั่งทำอะไรอยู่ที่นี่” ธีธัชเดินเข้ามาโวยวาย
ลำเภาลดหนังสืออ่านลง แล้วตอบหน้าตาเฉย
“ก็นั่งรอให้มารับน่ะสิ ถามได้”
“แล้วรอทำไม ทำไมไม่กลับเอง”
“เป็นแฟนกัน ก็ต้องมารับมาส่งกันบ้าง ไม่เห็นจะแปลก”
“แต่ฉันไม่ได้เป็นแฟนเธอ”
ลำเภาส่ายหน้ากวนธีธัช
“เป็นแล้วยังไม่รู้ตัวอีก นี่ถ้าไม่ได้เป็นแฟนกัน มาช้าแบบนี้ฉันด่าไปแล้ว เห็นว่าเป็นแฟนน่ะ ถึงไม่ว่า เพราะคนที่เค้าเป็นแฟนกัน เห็นนัดกันทีไร ชอบมาช้าทุกที”
“แต่...” ธีธัชตั้งท่าจะแย้ง
ลำเภาลุกขึ้น สวนกลับไม่ให้ทันตั้งตัว
“แต่มาก็ดีแล้ว จะได้รีบกลับ” ลำเภาเดินออกไปทันทีหลังพูดจบ
“ใครบอกว่าฉันจะไปส่งเธอ” ธีธัชตะโกนไล่หลัง
เภาหันมาแล้วก็พูดนำเสียงเรียบๆ
“ถือกระเป๋ามาให้ด้วยนะ” ลำเภาพยักเพยิดมาที่กระเป๋าตัวเองที่วางอยู่
ธีธัชอึ้งไป ก่อนที่จะเหลียวไปมองกระเป๋าลำเภาที่วางอยู่บนโต๊ะ ทว่าลำเภาเดินล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
“ถือไปเองสิ ฉันไม่ถือไปให้หรอกนะ” ธีธัชบ่น
ธีธัชยืนเท้าเอวอยู่กับที่ ทำเป็นไม่สนใจและไม่ยอมเดินตาม ทั้งยังไม่ยอมหยิบกระเป๋า ธีธัชหันไปมองลำเภา แต่ลำเภาไม่มีท่าทีที่จะเดินกลับ ยังคงเดินลิ่วนำไปล่วงหน้าไม่หยุด
“ยัยหนูตะเภา...นี่ เธอคิดว่าตัวเองเป็นใคร มาสั่งให้ฉันทำโน่นทำนี่ คนอย่างธีธัชไม่เคยทำตามคำสั่งผู้หญิงรู้ไว้ซะด้วย”
เสียงธีธัชตะโกนไล่หลัง แต่ลำเภาไม่สนใจยังเดินต่อไป
และแล้วธีธัชก็ทนไม่ได้จำใจต้องหันมาหยิบกระเป๋าด้วยความหงุดหงิดและเดินตามไปอย่างไม่เต็มใจ
“นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นน้องไอ้กริชอย่าหวังเลยว่าฉันจะทำให้”
หลังลำเภาเดินคล้อยหลังธีธัชไปไม่นาน เธอแอบได้ยินเสียงฝีเท้าธีธัชที่เดินตามมา จึงอดอมยิ้มอย่างสะใจไม่ได้
“นึกว่าจะแน่...”

รถธีธัชแล่นเข้ามาจอยังหน้าบ้านของลำเภา เป็นต่อกับพอใจ ซึ่งนอนๆ อยู่ถึงกับสะดุ้ง ลุกขึ้นชูคอ เหมือนรู้ว่าเจ้านายมาแล้ว วัชระกำลังล้างจานข้าวหมาอยู่ ทั้งคู่หันมามองวัชระอย่างงงๆ
“เป็นต่อ พอใจ เป็นไร” วัชระทัก
เป็นต่อกับพอใจ หันไปเห่าเสียงกระแดะๆ ออกมา เหมือนจะบอกวัชระว่า “มีคนมายังไม่รู้อีก เป็นตำรวจได้ยังไงเนี่ย”?

ลำเภาเปิดประตูฝั่งคนนั่งบนรถของธีธัชอย่างใจเย็น ธีธัชรีบลงรถ เดินตามมา
“เดี๋ยว” ธีธัชร้องเรียก
ลำเภาหันมา แล้วชิงพูดขึ้นก่อน
“ขอบคุณนะที่มาส่ง “ครั้งต่อไป” ถ้าจะมาช้าอีก ก็โทร.บอกหน่อย จะได้ไม่ต้องรอนาน “
ลำเภาพูดจบก็หันหลังเดินต่อไปยังตัวบ้าน
“ครั้งต่อไป นี่ ใครบอกว่ามันจะมีครั้งต่อไป หะ”
ลำเภาเดินเข้าไปในรั้วบ้านแล้ว เสียงธีธัชเดินโวยวายตามมา
“ครั้งนี้ฉันยอมเพราะเห็นแก่ไอ้กริช แต่ครั้งหน้าอย่าหวังเลยว่ามันจะมี ฉันไม่มีวันจะไปรับเธออีกแล้ว จำไว้ด้วย “
ลำเภาหันมาปิดประตูบ้านใส่หน้าธีธัช
“เฮ้ย” ธีธัชตกใจ
“เบาๆ หน่อย ส่งเสียงโวยวายอยู่ได้ ตอนนี้เป็นเวลานอนของเป็นต่อ พอใจ ถ้าไม่เกรงใจคน ก็หัดเกรงใจหมาซะบ้าง”
“หะ” ธีธัชหยุดกึก
“ราตรีสวัสดิ์” ลำเภาโบกมือส่งยิ้มและเดินเข้าบ้าน
“ยัยหนูตะเภา ยัยหนูตะเภา!! ยังคุยไม่รู้เรื่องเลย นี่เธอ”
ลำเภาไม่สนใจ เดินเข้าบ้านไปเลย ธีธัชได้แต่ยืนเซ็งอยู่ที่หน้าบ้าน นึกไม่ออกว่าจะเอาไงดี
“ยัยตัวแสบ”

ลำเภาเดินเข้ามาในบ้าน เป็นต่อ และพอใจ ชูคอเห่าทักทาย ลำเภาหันไปยิ้ม
“อือ..สวัสดี กินข้าวยัง”
“โฮ่งๆ” เป็นต่อ กับพอใจเห่าตอบรับ
“ดีแล้ว นอนซะ กู๊ดไนท์”
เป็นต่อกับพอใจรู้ความ เห่าตอบรับขึ้นอีกครั้งก่อนจะฟุบนอนลงไปกับเบาะ วัชระเห็นแล้วรู้สึกทึ่งในตัวลำเภา สัตวแพทย์คนนี้
“ถ้าเป็นหมาตัวอื่น เวลาเห็นเจ้านายมา จะต้องรีบวิ่งมาหา นี่แค่เห่าสองสามทีเนี่ยนะ”
“อือ…เพราะเราเข้าใจกัน ไม่ต้องแสดงออกมาก ก็รู้ว่าคิดอะไร”
ลำเภาหันไปยิ้มกับเป็นต่อและพอใจก่อนจะพูดต่อว่า
“หม่ามี๊พูดถูกมั้ย”
เป็นต่อกับพอใจรีบเห่าสนับสนุน
ลำเภาเดินไปวางกระเป๋าและหนังสือลงที่โต๊ะ วัชระหันไปถาม
“แล้วเมื่อกี๊ใครมาส่ง”
“นายธีธัช”
วัชระพยักหน้ารับ แต่พอฉุกคิดขึ้นได้ ถึงกับร้องขึ้นมาด้วยไม่เชื่อหูตัวเอง
“ไอ้ธี”

หลังวางกระเป๋า ลำเภาเดินไปรินน้ำและยกแก้วดื่มอย่างสบายใจ วัชระนั่งอยู่ตรงข้ามทำสีหน้าหน้าตาจริงจัง
“เภา...เรื่องจะเอาไอ้ธีมาเป็นแฟน...คิดดีแล้วเหรอ”
“คิดดีแล้วสิ ไม่ดีไม่ทำ”
“แต่…ไอ้ธีมันหญิงตรึมเลยนะ มีทั้งชั่วคราว ทั้งค้างคืน ที่จริงจังมันก็มี”
“รู้”
“รู้แล้วทำเนี่ยนะ” วัชระงงอีก
ลำเภาวางแก้วหันมาตอบด้วยหน้าตาจริงจังเหมือนกัน
“ที่ทำอยู่ก็เพื่อผู้หญิงพวกนั้น ผู้ชายอย่างนายธีธัชต้องได้รับการดัดนิสัย จะได้ไม่ไปทำร้ายผู้หญิงคนอื่น ที่ทำอยู่เนี่ย เสียสละอยู่นะ”
เจอมุกนี้ของลำเภา เล่นเอาวัชระพูดไม่ออกเหมือนกัน
“ผู้ชายอย่างนายธีธัชต้องได้รับบทเรียน โดนสั่งสอนซะบ้างจะได้จำ คุณวัชก็เหมือนกัน”
ลำเภาไม่พูดเปล่า หันมาแขวะวัชระเข้าให้อีกดอก
“เฮ้ย”
“ผู้หญิงเค้าอุตส่าห์อยากจะแต่งงานด้วย ดันวิ่งหนีเค้าแบบนี้ ระวังจะโดน “ใครสักคน” สั่งสอน”
ลำเภาพูดจบแล้วก็เดินไปหยิบเอาแก้วน้ำกับเหยือกน้ำ เดินถือเข้าห้องนอนไป ทิ้งให้วัชระนั่งตะลึงอยู่กับที่
“อะไรวะเนี่ย พูดถึงไอ้ธีอยู่ดีๆ ดันมาลงที่เราได้ไงเนี่ย”

วัชระถอนหายใจออกมาเบาๆ
อ่านสามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 10
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์