หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อ่านสามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 9/2

อ่านสามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 9/2
ที่หน้าโรงแรมวังน้ำเขียว เบญลี่และทีมงานที่ยืนรอขบวนรถที่กำลังเคลื่อนตัวมายังหน้าโรงแรม รถตำรวจ และรถตู้นำขบวน เข้ามา กริชชัยและลูกค้า ขี่ตามมาเป็นแถว

“เดย์ อาร์ คัมมิ่ง” เสียงเบญลี่เตรียมพร้อมเต็มที่ อรุณศรีและพนักงานคนอื่นๆ รีบเดินออกมาคอยต้อนรับ
กริชชัยและคุณลูกค้าแต่ละคนค่อยๆ นำรถเข้าไปจอดเรียงเป็นแถวในบริเวณที่จัดเตรียมไว้ เบญลี่ปรี่เข้าไปหากริชชัยทันที

“คุณกริช เป็นยังไงบ้างคะ เหนื่อยมั้ยคะ น้ำมั้ยคะ”
กริชชัยยังไม่ทันจะอ้าปากตอบ เบญลี่ก็หันมาทางอรุณศรี


“แอ๊วจ๊ะ”
“ขอเวลคัมดริ้งค์ให้คุณกริชด้วยจ้ะ ด่วนนะจ๊ะ เจ้านายเหนื่อยมาก”
กริชชัยงงกับท่าทางกุลีกุจอเกินเหตุของเบญลี่
“ค่ะ” อรุณศรีหันไปหยิบเวลคัมดริ้งค์ตามคำสั่งของเบญลี่
กริชชัยบ่นๆ เบาๆ เหมือนจะพูดกับตัวเอง
“ยังไม่ได้พูดสักคำ”
เบญลี่เหมือนจะได้ยินที่กริชชัยพูด เบญลี่ฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะบอกว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ รู้ใจ”
กริชชัยชะงักแอบเขินแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เบญลี่ถือโอกาสหลบทันที
“เบญลี่ขอตัวไปต้อนรับคุณลูกค้าก่อนนะคะ”
เบญลี่หันไปทางคุณลูกค้าที่เริ่มทยอยลงจากรถ
“คุณลูกค้าคะ เชิญรับกุญแจห้องที่เบญลี่ได้เลยนะคะ ห้องเย็นๆ อ่างน้ำอุ่นๆ รออยู่แล้วคร่า”
เบญลี่เดินผ่านมาทางอรุณศรี แอบกระซิบเบาๆ
“ให้ไวนะจ๊ะ เจ้านายรออยู่”
อรุณศรีชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยิน เบญลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้อรุณศรีก่อนจะเดินเลี่ยงไป
อรุณศรีหันมาทางกริชชัย เห็นว่ากำลังยืนมองอยู่จริงๆ อรุณศรีหลบสายตานิดๆ และแอบตื่นเต้นหน่อยๆ อรุณศรีพยายามไม่คิดมาก

น้ำพันซ์ผลไม้ในแก้วหรูหราวางอยู่ในถาด อรุณศรีเสิร์ฟให้กริชชัย
“พันซ์ผลไม้ค่ะ”
กริชชัยรับมาพร้อมกับระบายรอยยิ้มนิดๆ ที่ริมฝีปาก
“ขอบคุณมาก”
อรุณศรียิ้มรับก่อนจะเดินหันหลังไป กริชชัยรีบเรียกไว้
“เดี๋ยว”
อรุณศรีหันมาเผชิญหน้ากับกริชชัยอีกครั้ง
“งานที่นี่เป็นยังไงบ้าง เรียบร้อยหรือเปล่า”
“เรียบร้อยดีค่ะ เวที การแสดง เกมส์ เตรียมพร้อมทางด้านโน้นแล้วค่ะ ส่วนครอบครัวของลูกค้าบางส่วนที่เดินทางมาก่อน ก็เข้าพักที่ห้องไปแล้ว ทุกคนพอใจกับการต้อนรับของโรงแรม ตอนนี้ยังไม่มีปัญหาค่ะ” อรุณสรีรายงานตามความจริง
“ดี” กริชชัยยิ้มรับ
อรุณศรีเห็นว่า กริชชัยน่าจะหมดคำถามแล้วจึงค่อยๆ หันกลับไป กริชชัยรีบถามขึ้นอีก
“แล้วแฟนคุณมาหรือเปล่า”
อรุณศรีชะงักทันทีก่อนจะหันมาตอบ
“ไม่ได้มาค่ะ”
กริชชัยเผลอยิ้มออกมานิดๆ และคิดได้ว่า แสดงออกนอกหน้าเกินไปจึงรีบหุบยิ้มในทันที
“น่าเสียดาย” กริชชัยพูดตามมารยาท
“ใช่ค่ะ .. น่าเสียดายมาก ถ้าปรานต์มาน่าจะสนุก”
กริชชัยถึงกับหน้าเสีย ขณะที่อรุณศรียิ้มนิดๆ ไม่ได้รับรู้ความรู้สึกกริชชัยแม้แต่น้อย
“ดิฉันไปต้อนรับลูกค้าต่อนะคะ “
“เชิญ” กริชชัยพยักหน้าพร้อมๆ กับผายมือนิดๆ ให้อรุณศรีไปต้อนรับลูกค้าตามต้องการ
อรุณศรีหันหลังเดินไปปฏิบัติภารกิจอื่นต่อไป

กริชชัยได้แต่ถอนหายใจเบาๆ กริชชัยยกแก้วพันซ์ขึ้นดื่มแก้กลุ้มรวดเดียวหมดแก้ว

วัชระนั่งอยู่ที่หน้าร้านสาดสุราเมื่อตอนเย็น ร้านยังไม่เปิด วัชระจึงพกเบียร์และแก้วมาดื่มเองจนเบียร์ในถุงกระดาษพร่องลงไปเหลือแค่ปริมาณเบียร์อีกไม่กี่หยดที่ก้นขวด วัชระพยายามเทใส่แก้วพลาสติกอีกครั้งแต่ผิดหวังอย่างแรง จึงโยนขวดทิ้งลงถังขยะที่วางอยู่ข้างๆ พร้อมกับบ่นอุบ
“เมื่อไหร่ไอ้ธีมันจะมาวะ”
เสียงรถแล่นเข้ามาในบริเวณร้าน วัชระเห็นรถสปอร์ตสุพรรณิการ์แล่นเข้ามาจอด
วัชระเพ่งมองอีกครั้งด้วยความแปลกใจ จากนั้นก็รีบลุกเดินเข้ามามองให้ชัดๆ เมื่อสุพรรณิการ์ดับเครื่องยนต์และมองปราดเข้าไปในร้านก็เห็นวัชระยืนอยู่ที่ระเบียงร้าน สุพรรณิการ์ตกใจไม่เชื่อสายตา จนต้องเพ่งมองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ และต่างคนต่างแปลกใจและตกใจ ไม่คิดว่าจะมาเจอกันในร้านแห่งนี้
“เฮ้ย นี่มัน ยัยคุณหนูโรงงานน้ำปลานี่หว่า” วัชระพึมพำ
เช่นเดียวกับสุพรรณิการ์
“นายหน้าหนวดมาทำอะไร ที่นี่เนี่ย”

“ผมนัดเพื่อนไว้ แล้วคุณมาทำไม” วัชระตอบสุพรรณิการ์ด้วยมาดกวนๆ เหมือนเดิม
สองมือของสุพรรณิการ์รุงรังไปด้วยแก้ว จาน ชาม เครื่องปรุง กระดาษทิชชู่ จิปาถะ
“ฉันมาทำงาน” สุพรรณิการ์ว่า
“ทำงาน... อย่าบอกนะว่าคุณเป็นเด็กเสิร์ฟ”
สุพรรณิการ์เชิดหน้าก่อนจะตอบว่า
“นี่บารมีขนาดฉัน ต้องเป็นเจ้าของร้านสิยะ จะไปเป็นเด็กเสิร์ฟได้ยังไง ตาไม่มีแววจริงๆ”
วัชระมองหน้าสุพรรณิการ์ จากนั้นหันไปมองรถสปอร์ตคันที่สุพรรณิการ์ขับมา และมองดูร้านเหล้าก่อนที่จะจบลงที่หน้าสุพรรณิการ์
“ทำโรงงานน้ำปลามันรวยขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
“แน่นอน น้ำปลาโรงงานฉันไม่ธรรมดา น้ำปลาเกรดเอส่งนอก เก๋จะตาย”
วัชระพยักหน้ารับ สุพรรณิการ์มองหน้าวัชระที่ยังมีร่องรอยความเบื่อหน่ายกับชีวิต
“นี่..ถามหน่อย ชีวิตคุณไม่มีความสุขเลยหรือไง ถึงชอบทำหน้าเซ็งโลกตลอดเวลา”
“นี่ถามหน่อย แต่งงานหรือยัง”
“ยัง ถามทำไม”
“แล้วคิดจะแต่งกับเค้ามั้ย จะแต่งกับผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ คิดจะแต่งหรือเปล่า”
“ฉันไม่ใช่ทอม และฉันก็ไม่คิดจะแต่งงานไม่ว่าจะกับผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย”
วัชระแววตาเป็นประกาย ยื่นหน้าเข้ามาถามทันที
“ทำไม”

ประตูร้านด้านในถูกเปิดออก สุพรรณิการ์เดินนำเข้ามา วัชระช่วยถือของเดินตามมาพร้อมกับฟังคำตอบ
“ก็ฉันยังไม่เจอคนที่ทำให้ฉันอยากแต่งด้วย”
“แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าคนนี้ คือคนที่อยากจะแต่งงานด้วย”
สุพรรณิการ์วางของไว้ที่เค้าน์เตอร์
“โอ้ย จะอยากรู้ไปทำไม เป็นอะไรมากป่ะเนี่ย”
“ก็แค่สงสัย อยากรู้ว่าผู้หญิงคนอื่นเค้าคิดยังไงกับการแต่งงาน”
วัชระมองหน้าสุพรรณิการ์ราวกับจะค้นหาคำตอบบางอย่าง
“แต่อย่างคุณคงไม่ได้แต่ง”
สุพรรณิการ์ท้าวเอวด่าสวนวัชระทันที
“ทำไมหะ อย่างฉันมันยังไง ให้เหตุผลมาสิ เหตุผลไม่ดี อย่าหวังเลยว่าจะได้กลับมาเหยียบร้านฉันอีก ว่าไง ไหนบอกมาดิ ทำไมฉันจะไม่ได้แต่งงาน”
“ก็เป็นแบบนี้ เลยไม่มีผู้ชายกล้ามาจีบ ไม่มีใครกล้ามาขอ เกิดพูดไม่เข้าหู โดนเตะก้านคอขึ้นมาซวยอีก”
“โธ่ ถ้าป๊อดขนาดนั้นก็อย่าหวังจะได้แต่ง ผู้หญิงอย่างฉัน ไม่ง่าย อยากได้มันก็ต้องกล้าๆหน่อย พวกปอดแหกอย่างนายอย่างหวังเลยว่าจะได้เห็นขาอ่อน”
“อ้าวๆ.. ผมก็ไม่ได้จะขอคุณแต่งงานสักหน่อย อย่ามามั่ว”
“ไม่ขอก็ดี เพราะถึงขอฉันก็ไม่แต่ง”
วัชระอ้าปากจะเถียงต่อ แต่เสียงธีธัชดังขึ้นขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน
“ไอ้วัช คุณฝ้าย คุยอะไรกันอยู่ ดูท่าทางน่าสนุก”
สุพรรณิการ์ไม่ตอบไม่ทักทายธีธัชสักคำ แต่หันไปหยิบถุงข้าวของแล้วก็เดินเข้าหลังร้านไปเลย
“อ้าว เฮ้ย...ฉัน..มาผิดจังหวะอะไรหรือเปล่าวะ กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกันอยู่หรือเปล่า”
ธีธัช แอบคิดลามกตามประสาผู้ชายรักสนุก
“เข้าด้ายเข้าเข็มบ้าอะไรล่ะ จะเข้าชกกันซะมากกว่า ถ้าแกมาช้ากว่านี้อีกนิดเดียว มีหวังทะเลาะกันร้านพังแน่ๆ”
วัชระพูดจบก็ส่ายหน้าเดินกลับออกไปที่หน้าร้าน ปล่อยให้ธีธัชยืนงงอยู่ที่เดิม คนเดียว
“กูทำอะไรผิดหรือเปล่าวะเนี่ย”

นักร้องกำลังร้องเพลงเล่นกีตาร์แบบสบายๆ อยู่ในสวนข้างโรงแรมที่ตกแต่งคล้ายเป็นอู่รถเก๋ๆ เจ้าหน้าที่และพนักงานเสิร์ฟแต่งตัวในคอนเซ็ปท์ชุดหนังดำ เท่ๆ เซ็กซี่ๆ ลูกค้าที่มาร่วมงานส่วนใหญ่มากับครอบครัว บรรยากาศอบอุ่น กริชชัยเดินทักทายลูกค้าอย่างกันเอง
“ห้องพักเป็นยังไงบ้างครับ”
“ดีมากเลยคุณกริช ทุกอย่างเพอร์เฟคท์” ลูกค้าคนหนึ่งตอบกริชชัย
“ขอบคุณครับ ตามสบายนะครับ ต้องการอะไรเพิ่มบอกผมได้เลยนะครับ” กริชชัยยิ้มหน้าบาน
กริชชัยยิ้มแล้วเดินไปสำรวจส่วนอื่นๆต่อไป บรรยากาศในงานราบรื่นดี มีดนตรีคลออยู่เบาๆ อาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟอย่างต่อเนื่อง มีเสียงหัวเราะสนุกสนานของลูกค้าดังมาเป็นระยะๆ
กริชชัยมองไปรอบๆ มองหาอรุณศรี
อรุณศรีเดินมาในชุดหนังสีดำรัดรูป แขนกุดอย่างเท่ เก๋ไก๋พร้อมถือป้ายอุปกรณ์เล่นเกมติดมือมาด้วย เล่นเอากริชชัยยืนตาค้างอยู่กับที่ เพราะสะดุดตาในความงามของอรุณศรี
“แอ๊วสวยมั้ยคะคุณกริช” เสียงเบญลี่ก็ดังขึ้น
กริชชัยสะดุ้งและหันขวับมาทางต้นเสียง เบญลี่อยู่ในชุดหนังเช่นกัน แต่ความเซ็กซี่ต่างจากอรุณศรีมาก เบญลี่ยิ้มกริ่มรอคำตอบ แต่กริชชัยเฉไฉพูดเปลี่ยนเรื่องไปว่า
“ลูกค้าชอบห้องพักมาก..ฝากบอกทางโรงแรมด้วย”
เบญลี่ถึงกับหุบยิ้มในทันที
“ได้ค่ะ”
เบญลี่ยังคงอยากรู้คำตอบ จึงพยายามดึงเข้าเรื่อง ถามกริชชัยอีกครั้ง
“คุณกริชว่า...แอ๊วแต่งตัวแบบนี้..สวยสมกับเป็นพีอาร์พิเศษของบริษัทเรามั้ยคะ”
กริชชัยรู้ทัน หลังปรายตามองอรุณศรีแล้ว จึงหันมาทางเบญลี่ ซึ่งรอฟังคำตอบอยู่อย่างใจจดจ่อ
“เดี๋ยวเราจะให้ลูกค้าเล่นเกมกันเลยใช่มั้ย”
เบญลี่หุบยิ้มอีกรอบแทบไม่ทัน
“ค่ะ .. ตามกำหนดการจบเพลงนี้แล้ว เราจะให้คุณลูกค้าขึ้นร่วมเล่นเกมด้วยกันบนเวที”
กริชชัยพยักหน้ารับ เบญลี่ขอพยายามอีกที
“จะว่าไปเราให้พนักงานแต่งตัวแบบนี้ทุกวันก็ดีนะคะ ใส่แล้วดูดีกันทุกคนเลย โดยเฉพาะแอ๊วเนี่ย ใส่แล้วขึ้นมาก สวยยังดาราเลยนะคะ คุณกริชว่ามั้ยคะ” เบญลี่ยิ้มรอคำตอบ
กริชชัยหันมาพูดเสียงนิ่งๆ
“เกมส์ที่เราจะเล่น มันเป็นยังไงนะครับผมลืมไปแล้ว คุณเบญลี่ช่วยอธิบายให้ผมฟังอีกทีได้มั้ยครับ”
กริชชัยก็ยังทำหน้าซื่อตาใส ไม่รับมุกของเบญลี่
“ปากแข็งทั้งคู่” เบญลี่พึมพำ แต่กริชชัยไม่ได้ยิน เพราะแอบปรายตาไปมองอรุณศรีที่กำลังเตรียมสถานที่เล่นเกมอยู่ กริชชัยมองด้วยความชื่นชม
อรุณศรีกำลังขยับเก้าอี้สองตัวให้หันหลังชนกัน และปักป้ายไว้ข้างหน้าป้ายละหนึ่ง ป้ายสีชมพูสำหรับ
ผู้หญิง และสีฟ้าสำหรับผู้ชาย
เฮียเต้ยและเจ๊นัน 2 ลูกค้าวีไอพี นั่งอยู่ที่เก้าอี้หันหลังชนกัน เฮียเต้ยถือป้ายสีฟ้าด้านหนึ่งเขียนว่า “ผมครับ” อีกด้านเขียนว่า “เธอเท่านั้น” ส่วนเจ๊นันถือป้ายสีชมพูด้านหนึ่งเขียนว่า “เดี๊ยนค่ะ” และ อีกด้าน “เขาคนเดียว”
เบญลี่เดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างเฮียเต้ยและเจ๊นัน พร้อมกับอธิบายเกม
“ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ช่วงเกมสร้างความร้าวฉาน เฮ้ย สร้างความสมานฉันท์ให้กับครอบครัว ครอบครัวไหนทำคะแนนได้มากที่สุด บอสสุดหล่อของเราเตรียมรางวัลพิเศษมากไว้ให้อย่างสาสม”
ผู้มาร่วมงานหัวเราะกันครึกครื้น กริชชัยยืนกอดอกแล้วก็ยิ้มๆ มองๆหาอรุณศรีอีกตามเคย
อรุณศรีคอยคุมความเรียบร้อยอยู่ข้างเวที ส่วนเบญลี่พูดต่อ
“กติกาแสนง่าย เราจะมีป้ายให้คุณผู้ชายหนึ่งอัน และคุณผู้หญิงหนึ่งอัน”
เฮียเต้ยและเจ๊นันชูป้ายขึ้น
“ของคุณพี่ผู้ชายด้านหนึ่งจะเขียนว่า “ผมครับ” อีกด้านคือ “เธอเท่านั้น” ส่วนของคุณพี่ผู้หญิง”
เบญลี่ส่งไมค์ให้เจ๊นัน
“เดี๊ยนค่ะ กับ เขาคนเดียว” เจ๊นันพูดผ่านไมค์
“เก่งมากค่ะ ภาษาไทยแตกฉานที่สุด”
คนในงานขำกับมุกของเบญลี่ แม้แต่อรุณศรีก็ยังขำตามไม่ได้ กริชชัยมองอรุณศรีก็พลอยยิ้มตามไปด้วย และทันทีที่อรุณศรีหันมาทางกริชชัย เขารีบเก๊กหน้าเข้มและหันไปมองทางเวทีอย่างตั้งใจทันที
“ป้ายนี้ต้องถือไว้ให้ดี ระหว่างที่เบญลี่อ่านคำถามคุณพี่ทั้งสองต้องนั่งหันหลังให้กัน ห้ามหันมาลอกคำตอบเด็ดขาด”
เวทีเฮียเต้ยกับเจ๊นันขยับนั่งหันหลังให้กัน เบญลี่ยังคงพูดต่อ
“เมื่ออ่านคำถามจบให้ทั้งสองคนชูป้ายด้านที่เป็นคำตอบขึ้นมา ถ้าตอบตรงกันรับไปหนึ่งคะแนน ครอบครัวไหนตอบตรงกันมากที่สุด รับรางวัลใหญ่ของบอส .. ขอเน้น.. สุดหล่อ ของเราไปได้เลยค่ะ”

บรรยากาศจริงจังของกิจกรรมเริ่มขึ้นแล้ว เบญลี่ยืนอยู่กลางเวที
“ถ้าพร้อมแล้ว..คำถามข้อที่หนึ่ง “ระหว่างเฮียเต้ยกับเจ๊นัน..ใครหนอที่เป็นคนคุมเงิน” ตอบค่ะ”
เฮียเต้ยชูว่า “เธอเท่านั้น” และเจ๊นันชูว่า “เดี๊ยนค่ะ” คนในงานขำกันตรึม สองคนหันมาดูป้าย แล้วก็ขำกันฮาที่ตอบตรงกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ตอบตรงกันแบบนี้รับไป 1 คะแนนค่ะ”
คนในงานปรบมือ ทุกคนพยักหน้าด้วยความสนุกสนาน อยากเล่นบ้าง บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข กริชชัยมองด้วยความพอใจ
“คำถามข้อที่ 2 ใครกันหนอ..ใช้เงินในการชอปปิ้งมากที่สุด ตอบค่ะ”
คำถามนี้ เฮียเต้ยชูว่า “เธอเท่านั้น” ส่วนเจ๊นันตอบว่า “เขาคนเดียว”
สองคนหันมาดูคำตอบของอีกฝ่ายแล้วก็ขำ
“เริ่มไม่สามัคคีกันแบบนี้รับไป “ศูนย์” คะแนนค๊า”
คนในงานตบมือให้ด้วยความสนุกสนาน กริชชัยยิ้มด้วยความพอใจ และมองมาที่อรุณศรี พร้อมกับตัดสินใจเดินมาหา
เสียงเบญลี่ดังมาจากบนเวที
“ครอบครัวนวลจันทร์กุลรับไปหนึ่งคะแนน ต่อไปขอเชิญครอบครัวคุ้มเณรค่ะ”
เสียงปรบมือดังต้อนรับคู่แข่งขันคู่
อรุณศรียืนอยู่ข้างเวที กริชชัยกำลังเดินเข้ามาหา ยังไม่ทันที่กริชชัยจะอ้าปากพูด เสียงข้อความดัง
เข้าที่โทรศัพท์มือถือ อรุณศรีหยิบโทรศัพท์มาอ่านข้อความจากปรานต์
“ตั้งใจทำงานนะ คิดถึงที่สุด” กริชชัยเหลือบไปอ่านพอดี กริชชัยถึงกับชะงัก หน้าจ๋อยๆ รีบเบือนหน้าหนีและเดินกลับไปยังที่เดิม
อรุณศรีกดปิดข้อความ เก็บโทรศัพท์ และหันมาทำงานเหมือนเดิม กริชชัยได้แต่แอบมองอรุณศรีจากที่ไกลๆเหมือนเดิม

ปรานต์กำลังเดินดูรถตู้กับเกียวที่ลานจอดคิวรถตู้อันใหญ่โตในจังหวัดระยอง
“สรุปว่ามีรถที่จะติดเครื่องเสียงทั้งหมด ๑๒ คัน ผมจะจัดชุดพิเศษให้เลยครับ รับรองว่าลูกค้าขึ้นรถมาต้องประทับใจ”
“ดีมาก พี่เป็นคนจริง ทำอะไรทำจริง ไม่ใช่ทำแบบครึ่งๆกลางๆ ไม่เต็มที่ พี่ไม่ทำ เพราะฉะนั้นอะไรดีๆ จัดมาเลย เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา”
ปรานต์ยิ้มรับ
“งั้นผมจะรีบส่งเครื่องเสียงกับช่างมาเลยนะครับ ถ้าเป็นวันอังคารนี้คุณเกียวพร้อมมั้ยครับ”
“พร้อมสิจ๊ะ แต่...” เกียวเสียงจริงจัง
ปรานต์ชะงักฟัง
“ห้ามเรียกพี่ว่า “คุณ” ต้องเรียก “พี่” ว่า “พี่” ถึงจะเหมาะสม”
“ได้ครับ..พี่เกียว”
“พี่ว่าเราไปหาอะไรทานกันดีกว่านะ อากาศกำลังดี นั่งกินข้าวไปดูพระอาทิตย์ตกไป..โรแมนติก”
“ผมขอเป็นเจ้ามือนะครับ ผมไม่ชอบเอาเปรียบผู้หญิง”
เกียวยิ้มพอใจ
“สุภาพบุรุษมาก..พี่ชอบ”
เกียวยิ้มหวาน หน้าบานด้วยความลุ่มหลง ปรานต์ยิ้มรับนิดๆ แอบคิดในใจว่า ‘อย่าไปกินแพงนะมรึง’

เสียงเพลงจากดนตรีสดในร้านสาดสุราของค่ำวันนั้น กำลังเล่นเพลง “นางแมว” ถึงท่อนฮุค “ไป ไป ไปลงนรกซะเถิดที่รักฉันจะลงโทษเธอ” อย่างเมามัน คนในร้านร้องตามอย่างสนุกสนาน
วัชระ และธีธัช นั่งปรับทุกข์กันอยู่ที่ระเบียง
“สรุปแกก็ต้องแต่งกับแหนม”
“ก็ต้องงั้น มันเป็นความต้องการของเค้า ฉันมีหน้าที่ทำตาม ฉันนึกว่าการที่ฉันหนีหน้าเค้า จะทำให้เค้าเย็นลง และฟังฉันบ้าง แต่มันตรงข้าม เค้ายิ่งร้อนรน วุ่นวาย แล้วก็ไม่ฟังอะไรเหมือนเดิม”
“เอาน่า..อย่างน้อยแกก็ได้พูดความรู้สึกของแกออกไปแล้ว”
“พูด แต่คนฟังเค้าไม่สนใจ มันจะมีประโยชน์อะไรวะ”
ธีธัชพูดไม่ออกไปเลย สียงโทรศัพท์วัชระดังขึ้น วัชระหันไปหยิบหน้าเซ็งๆ เพราะคิดว่าเนตรนภัสโทรเข้ามา แต่พอเห็นชื่อแววตาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เภาว่าไง”
ธีธัชหูผึ่งทันทีเมื่อได้ยินชื่อลำเภา
“ครับ ครับ..ได้ครับ...ได้ๆ เดี๋ยวผมจัดการให้ ไม่ต้องห่วง สวัสดีครับ”

หลังวัชระวางสายไป ธีธัชอ้อมๆแอ้มๆ ถามขึ้น
“น้องไอ้กริช โทร.หาแกทำไมวะ”
“อ๋อ..เภาเค้าฝากให้ฉันกลับไปให้อาหารหมา”
“ทำไมต้องเป็นแกวะ”
“ก็ตอนนี้ฉันไปอาศัยอยู่บ้านลำเภา”
ธีธัชสะอึกเล็กน้อย วัชระพูดต่อ
“ฉันไม่อยากอยู่บ้าน ขี้เกียจเจอแหนม แล้วก็ไม่อยากให้แม่ต้องเห็นว่าฉันไม่สบายใจ ไอ้กริชก็เลยให้เภาช่วยจัดห้องให้ฉันอยู่ วันนี้ไอ้กริชมันไปทริปมันก็ฝากให้ฉันช่วยอยู่เป็นเพื่อนเภาด้วย
ธีธัชรู้สึกร้อนรุ่มใจแปลกๆ
“คืนนี้แกก็อยู่กับยัยหนูตะเภาสองต่อสองเนี่ยนะ”
“เออ.. แก.. โอเคเปล่า” วัชระพูดพลางมองหน้าธีธัช
“โอเคดิ ทำไมฉันต้องไม่โอ ฉันกับยัยเด็กนั่นไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” ธีธัชเฉไฉทำเป็นหยิบแก้วน้ำมาดื่ม
“โอเคก็ดี ฉันจะได้ไม่ต้องลำบากใจ งั้นฉันกลับไปให้อาหารหมาก่อน เภาคงกลับดึก เห็นบอกว่ายังอยู่โรงพยาบาลรอคนมารับ”
ธีธัชสำลักพรวดทันที วัชระมองด้วยความแปลกใจ วัชระส่งทิชชู่ให้
“เอ้ย ใจเย็นๆ เป็นอะไรไปวะ”
ธีธัชโบกมือบอกว่าไม่เป็นไร ธีธัชคิดถึงตอนที่ลำเภาส่งข้อความ “ เย็นนี้เลิกงานห้าโมงมารับด้วย...มาให้ได้”

ลำเภานั่งอยู่ในคลินิกรักษาสัตว์ เหลือบไปดูนาฬิกาที่ข้างฝา เวลาสองทุ่ม ลำเภาดึงสายตากลับมาที่หนังสือ แล้วก็นั่งอ่านต่อไป อย่างอดทน
คล้อยหลังวัชระที่โบกมือลาธีธัช ธีธัชรีบหันนาฬิกาข้อมือมาดู
“สองทุ่ม ยัยหนูตะเภาท่าจะบ้า รอตั้งแต่ห้าโมงยันสองทุ่มเนี่ยนะ อยากรอก็รอไป..ฉันไม่มีวันไปรับหรอก”

กรกนกกำลังเดินเก็บเงินอยู่ในร้านสาดสุรา ชะเง้อมองมายังจุดที่ธีธัชนั่งอยู่ ขณะนั้นธีธัชนั่งหันหลังกระดิกขาอย่างคนร้อนรนเพราะไม่อาจหยุดความกังวลเรื่องลำเภาได้ กรกนกเห็นแล้วก็เริ่มครุ่นคิด และหนักใจว่า จะเอายังไงต่อไปกับผู้ชายคนนี้ต่อไป
ลำเภายังนั่งอ่านหนังสืออยู่อย่างใจเย็น ต่างจากธีธัชโดยสิ้นเชิง

ในที่สุด ธีธัชก็พ่ายแพ้ต่อความเป็นห่วงของตัวเอง ธีธัชลุกพรวดออกจากร้านสาดสุราไป ธีธัชวิ่งตรงไปที่รถ
เมื่อกรกนกเก็บเงินเรียบร้อยแล้วหันมาดูธีธัชอีกที..ก็พบว่า ธีธัชไม่ได้นั่งอยู่ที่เดิมซะแล้ว

กรกนกแปลกใจ จึงเดินออกมาดูที่หน้าร้านเห็นธีธัชขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวคิดในใจว่า...เขาจะรีบไปไหน?

อ่านสามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 9/2
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์