อ่านสามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 16/2
มีเสียงข้อความเข้ามาที่มือถือของปรานต์ ปรานต์รีบหยิบมากดอ่านด้วยความอยากรู้ เป็นข้อความจากเบอร์มือถืออรุณศรี
“เย็นนี้ค่อยคุยกัน มารับที่ทำงานด้วย”
ปรานต์ยิ้มพอใจ กะว่าอย่างไรเสียเย็นนี้อรุณศรีคงจะใจอ่อนเหมือนเคย ปรานต์หยิบแหวนแต่งงานมาเปิดดูอีกรอบ แล้วก็ยิ้มด้วยความพอใจ
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูหน้าห้องทำงานของปรานต์ก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงเกียวดังเข้ามา
“ปรานต์ๆ”
ปรานต์ตกใจ ค่อยๆ หย่อนกล่องแหวนลงไปในลิ้นชัก และไขกุญแจล็อคอย่างแน่นหนาทันที
ปรานต์เงยหน้าขึ้น ปรับสีหน้าให้เป็นปกติพร้อมกับยิ้มรับ
“พี่เกียว มาเงียบๆ เลยนะครับ”
เกียวยิ้มกว้างพร้อมกับเดินเข้ามาประกบปรานต์ พลางพูดทีเล่นทีจริงหยอกเย้า
“ก็อยากจะลองมาแบบเงียบๆ ดูบ้าง เผื่อปรานต์แอบมีคนอื่น จะได้ซ่อนไม่ทัน”
ปรานต์ยิ้มกลบเกลื่อนทันที
“โธ่..พี่ดีกับผมขนาดนี้ ผมจะมีคนอื่นได้ไง”
“ขอให้จริงเถอะ หิวยัง? ไปกินข้าวกัน” เกียวพูดและยิ้มเชื่อสนิทใจ
“ครับ”
ปรานต์รับปากแล้วนึกได้ว่ามีนัดกับอรุณศรีจึงทำหน้าจ๋อยๆ
“เอ่อ..แต่ช่วงนี้ผมต้องประหยัด ไม่อยากฟุ่มเฟือย อยากเก็บเงินมาพี่เร็วๆ ผมคงจะกินอะไรแพงๆไม่ได้”
“โธ่..แค่เรื่องกิน ไม่ต้องคิดมาก พี่เลี้ยงเอง”
เกียวว่าก็เข้ามาควงปรานต์ทันที
“ไป..หิวแล้ว รีบกินเผื่อว่าจะมีเวลาเหลือ..ทำอย่างอื่นต่อหลังอาหาร” เกียวพูดต่อปรานต์ยิ้มรับอย่างรู้ใจ
“ถ้าเป็นความต้องการของพี่..ผมก็เต็มที่ครับ”
“ว่าง่ายแบบนี้ พี่ช๊อบ..ชอบ”
เกียวยิ้มพอใจ หลงใหลไปกับปรานต์อย่างลืมตัว
เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่นห้อง เมื่อเวลา 5 โมงเย็นในห้องนอน ทันทีที่เสียงดังขึ้น สุพรรณิการ์กเอามือคว้ากดปิดเสียงทันทีแล้วยันตัวลุกขึ้นอย่างสดชื่น
สุพรรณิการ์หันไปหยิบรีโมทมากดเครื่องเล่นซีดี เปิดเพลง “ช่าช่าช่าพาเพลิน” ของศรีสุดา รัชตะวรรณ แห่งวงสุนทราภรณ์ทันที
“เพลินอารมณ์ ชื่นชมสำราญฤทัย เพลินดวงใจ เต้นรำเพลง ช่า ช่า ช่า ฟังบรรเลง ด้วยเพลงเร้าในวิญญา ช่า ช่า ช่า นั้นพาให้เร้าเริงใจ”
สุพรรณิการ์ลุกขึ้นจากเตียง เต้นรำไป แปรงฟันไป อาบน้ำไป แต่งตัวไป เต้นไปด้วยตามจังหวะเพลงช่า ช่า ช่า ที่แสนสดใส
สุพรรณิการ์แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย พร้อมไปทำงาน สุพรรณิการ์เดินไปปิดม่านเพื่อออกไปยืนสูดลมหายใจที่
ระเบียง พลันสายตาเหลือบไปเห็นรถของวัชระจอดอยู่ที่ลานจอดรถ สุพรรณิการ์เพ่งมองแล้วคิด
“รถนายหน้าหนวดนี่”
เสียงออดห้องกริชชัยดังขึ้น วัชระเดินออกมาเปิดพลางเลิกคิ้วนิดๆกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า สุพรรณิการ์ลุคใหม่แต่งตัวสวยเซ็กซี่ สุพรรณิการ์ยื่นขวดน้ำรูปทรงเก๋ๆให้วัชระ
“ฉันให้..ตอบแทนที่ซื้อข้าวมาให้” สุพรรณิการ์บอก
“อะไร” วัชระรับขวดน้ำมาอย่างงงๆ
“ชารางจืด สมุนไพรไทยแก้เมาค้างได้สุดยอด”
สุพรรณิการ์อธิบายต่อ
“ก็ฉันเห็นคุณชอบแก้ปัญหาด้วยการดื่มของมึนเมา และดูท่าทางจะต้องอยู่กับปัญหาไปอีกนาน ก็เลยชงมาให้ดื่มจะได้ไม่ตับแข็งตายซะก่อน รางจืดเนี่ยเค้าใช้ถอนพิษเหล้า ส่วนพิษรักตัวใครตัวมัน “ สุพรรณิการ์พูดพลางยักคิ้วกวนๆใส่วัชระ
“สำบัดสำนวนเหลือเกิน” วัชระยิ้มขำพร้อมชูขวดน้ำขึ้นแล้วบอก
“ขอบคุณมาก”
“อืมม์ ไม่เป็นไร นิดหน่อย ฉันไปทำงานก่อนนะ โชคดี”
สุพรรณิการ์กำลังจะหันหลังจะเดินไป ทันใดนั้นเสียงเพลงสุนทราภรณ์ก็ดังแว่วๆมาจากในห้องของกริชชัย
“ละครของโลกมีโศกมีทุกข์สุขปน คลุกเคล้าระคนชั่วดีเจ็ดหนปนกัน อยู่อยู่ก็ร้ายแล้วหายไปพลัน กลับเปลี่ยนแปรผัน ความดีเลวนั้นช่างกลับช่างกลาย”
“เพลงโลกหมุนเวียน” สุพรรณิการ์พึมพำพลางหยุดเดินแล้วถอยหลังกลับมาเพื่อให้แน่ใจว่า เสียงเพลงนี้มาจากห้องของกริชชัย ซี่งวัชระอยู่ในขณะนี้
“คุณอยู่กับใคร” สุพรรณิการ์ถามคาดคั้น
“อยู่คนเดียว” วัชระตอบ
“คุณฟังเพลงอะไร”
“เพลงสุนทราภรณ์ “
สุพรรณิการ์ทำตาโตเพราะไม่เชื่อ ไม่พูดพล่ามทำเพลง พุ่งพรวด ผ่านตัววัชระเข้าไปในห้องทันที วัชระถึงกับงงกับพฤติกรรมของสุพรรณิการ์
“อ้าวเฮ้ย ! คุณ !ทำอะไรน่ะ”
วัชระตะโกนถามด้วยความแปลกใจ ในขณะที่เพลงโลกหมุนเวียนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
เครื่องเล่นแผ่นซีดีของวัชระยังเล่นเพลงอยู่ สุพรรณิการ์ยืนอยู่หน้าเครื่องเล่นเหมือนโดนสะกด มุมส่วนตัวของวัชระมีภาพของนักร้องและวงดนตรีสุนทราภรณ์ประดับไว้อย่างน่ารัก วัชระกดปิดเพลงจากรีโมท แล้วก็มองสุพรรณิการ์ด้วยความงุนงง สุพรรณิการ์หันมาถาม
“วงสุนทราภรณ์ก่อตั้งขึ้นเมื่อไหร่ “
“ถามทำไม” วัชระขมวดคิ้ว
สุพรรณิการ์ยักคิ้ว ท้าทาย
“รู้หรือเปล่าล่ะ”
วัชระยิ้มรับคำท้า
“20 พฤศจิกายน 2482” วัชระพูดยักคิ้ว..
สุพรรณิการ์ถามต่อไปไม่ยอมแพ้
“ก่อนชื่อสุนทราภรณ์เคยชื่ออะไรมาบ้าง” สุพรรณิการ์ลองภูมิวัชระ
“วงดนตรีไทยฟิล์ม แล้วก็เปลี่ยนมาเป็น วงดนตรีกรมโฆษณาการ แล้วก็เปลี่ยนเป็น วงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ สำหรับรับงานราชการ ถ้ารับงานนอกราชการก็ใช้ชื่อว่า สุนทรภรณ์”
วัชระยักคิ้ว สุพรรณิการ์เบ้ปากนิดๆ แปลกใจแต่ยังไม่ยอมรับ
“ข้อมูลแบบนี้ใครๆเค้าก็รู้ ถ้าแน่จริงมาต่อเพลงกันดีกว่า”
วัชระยักไหล่พลางตอบ
“รับคำท้า!”
การต่อเพลงเริ่มขึ้น
“มองอะไร..คนอะไร เธอมองไปทำไมยิ้มมา” สุพรรณิการ์เริ่มต้นด้วยเพลง “มองอะไร”
“...เหม่อมอง สองตา แปลกหน้า ยังมาทำเปิ่น”
“สุขกันเถอะเรา เศร้าไปทำไม อย่ามัวอาลัย คิดร้อนใจไปเปล่า” สุพรรณิการ์ตามด้วยเพลง “สุขกันเถอะเรา”
“...เกิดมาเป็นคน อดทนเถอะเรา อย่ามัวซมเซา ทุกคนเราทนมัน”
“พรหมลิขิตบันดาลชักพา ดลให้มาพอกับทันใด” สุพรรณิการ์ยิ้มสนุกพร้อมกับร้องเพลง “พรหมลิขิต”
“ก่อนนี้อยู่กันแสนไกล พรหมลิขิตดลจิตใจ ฉันจึงได้มาใกล้กับเธอ”
“พี่นี้มีน้องหนึ่งในดวงใจเท่านั้น หญิงอื่นหมื่นพันจะมาเทียมทันที่ไหน” สุพรรณิการ์สวนอย่างเร็วด้วยเพลง “หนึ่งในดวงใจ”
“แต่รักของพี่ซ่อนอยู่กลางใจข้างใน หนึ่งในดวงใจคือเธอคนเดียว..แท้เทียว หากน้องได้รู้ว่าพี่รักน้องหนักหนา..ขอได้เมตตาแก่ดวงวิญญาโดดเดี่ยว ผิดบ้างพลั้งบ้างก็ไม่จืดจาง ขาดเกลียว น้องเป็นคนเดียว....หนึ่งในดวงใจ” วัชระไม่ยอมแพ้ร้องตอบอย่างเร็ว
“โว้ว” สุพรรณิการ์ร้องอย่างลิงโลดด้วยเจอคนคอเดียวกัน สุพรรณิการ์ปรบมือด้วยความชื่นชม
“สุดยอดไปเลยผู้กอง ฉันไม่คิดเลยนะว่าหน้าโฉดๆ เอ้ย … หน้าโหดอย่างผู้กอง จะฟังเพลงสุนทราภรณ์กับเค้าด้วย” สุพรรณิการ์บอก
“ผมก็ไม่คิดว่าม้าดีดกะโหลก เอ้ย..ผู้หญิงห้าวๆอย่างคุณจะฟังเพลงแบบนี้เหมือนกัน” วัชระบอก
“พ่อแม่ฉันชอบฟังน่ะ ฉันก็ฟังตามเค้ามาตั้งแต่เด็ก หลังจากที่พ่อกับแม่เสีย ฉันก็เลยฟังมาเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ฟัง มันเหมือนฉันได้กลับไปอยู่กับพวกเขาอีกครั้ง”
แววตาของสุพรรณิการ์ดูอ่อนโยนลงเวลาพูดถึงพ่อแม่ เธอเผยมุมอ่อนหวาน งดงาม ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
วัชระมองเห็นมุมนั้น เป็นความประทับใจแรกที่เกิดขึ้นในใจ
“แผ่นเสียงเก่าๆพวกนี้เป็นของพ่อผม พ่อสะสมมาตั้งแต่เป็นหนุ่มๆ พอท่านเสียผมก็เก็บรักษาไว้อย่างดี ถึงตอนนี้ผมจะไม่มีเครื่องเล่น แต่ทุกครั้งที่ผมได้มองเห็นมัน ผมจะรู้สึกถึงความสุขตอนที่เราอยู่ด้วยกัน” วัชระพูดขึ้นบ้าง
วัชระค่อยๆเผยมุมอบอุ่นของตัวเองออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ สุพรรณิการ์ค่อยๆหันมามองวัชระ ในวินาทีนั้นเธอเหมือนสัมผัสกับอะไรบางอย่างที่เชื่อมโยงระหว่างเธอกับเขาเข้าด้วยกัน วัชระหันมามองสุพรรณิการ์ด้วยความรู้สึกเดียวกัน ในอึดใจต่อมาสุพรรณิการ์ก็เกิดอาการเขินอายขึ้นมาแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สุพรรณิการ์ยิ้มเก้อๆ แล้วก็เบนหน้าหนี
“ฉันไปร้านก่อนนะ” สุพรรรฺการ์หันนหลังเดินไปที่ประตู วัชระหยุดคิดนิดๆ แล้วก็ตัดสินใจหันไปถาม
“คุณฝ้าย”
สุพรรณิการ์หันมา รอฟัง วัชระถามตรงๆ
“วันอาทิตย์นี้คุณว่างหรือเปล่า”
เย็นวันเดียวกัน ที่บริเวณทางเดินในบริษัท กริชชัยหน้าเจื่อนลงทันที แต่น้ำเสียงยังจริงจังมีฟอร์มเหมือนเดิม
“เย็นนี้ไม่ว่างเหรอครับ”
อรุณศรีสะพายกระเป๋าเตรียมกลับบ้านจึงตอบตรงๆ
“ค่ะ พอดีมีธุระส่วนตัวน่ะค่ะ คุณกริชมีงานอะไรด่วนหรือเปล่าคะ”
กริชชัยพยายามตอบเสียงปกติ
“เปล่า...ไม่มีอะไร “
อรุณศรีมองด้วยความแปลกใจ เป็ฯจังหวะเดียวกับที่ปรานต์โทร.มาพอดี อรุณศรีอึกอัก กริชชัยพยักหน้าอนุญาต
“เชิญตามสบาย”
อรุณศรีเลี่ยงเดินไปด้วยความเกรงใจ พร้อมกับกดรับโทรศัพท์ต่อหน้ากริชชัย
“ฮัลโหล..ปรานต์มาถึงแล้วเหรอ โอเค เจอกันที่ร้านกาแฟนะ กำลังเดินลงไป”
อรุณศรีเดินไปเลย กริชชัยได้แต่มองตาม..ตาละห้อย...
ปรานต์นั่งรออยู่ในร้านกาแฟ ในมือถือกล่องแหวนอยู่ พร้อมเปิดดูด้วยความชื่นชม อรุณศรีเดินมาเห็นพอดี
ปรานต์หันมาเห็นจึงโบกมือยิ้มให้ อรุณศรียิ้มรับพร้อมกับเดินไปนั่งเผชิญหน้า
“ทำไมแอ๊วนัดที่นี่ เราน่าจะไปหาร้านอร่อยๆ กินไปคุยไปดีกว่านะ” ปรานต์ยิ้ม
“ไม่เป็นไร แอ๊วคุยแค่แป๊บเดียว คุยเสร็จแล้วก็ว่าจะกลับบ้านเลย”
ปรานต์สีหน้าเครียดขึ้นทันที
“ซีเรียสใช่มั้ยแอ๊ว”
“ใช่” อรุณศรีมองหน้าและพูดหนักแน่น
“แอ๊วยังยืนยันที่จะไม่แต่งงาน แอ๊วขอให้ปรานต์เคลียร์เรื่องหนี้สิน และเก็บเงินสร้างฐานะของตัวเองให้ดีกว่านี้ แล้วเราค่อยคิดเรื่องแต่งงาน”
ปรานต์หน้าเสียทันทีเพราะคิดไม่ถึง
“สรุปที่ไม่แต่ง เพราะเรื่องเงินอย่างเดียวเลยเหรอ เพราะปรานต์ไม่รวยเหมือนไอ้กริชชัยใช่มั้ย”
อรุณศรีชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ
อรุณศรีพูดอย่างมีสติ พยายามไม่ใช้อารมณ์
“อย่าดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวได้มั้ย เรื่องนี้เป็นเรื่องของเราสองคน ปรานต์มีคนอื่นแอ๊วยังไม่พูดถึงสักคำ”
“แต่มันไม่ได้หมายความว่า แอ๊วมีคนอื่นแล้วปรานต์จะพูดถึงไม่ได้” ปรานต์เค้นเสียงอย่างแค้น
ปรานต์มองหน้าอรุณศรีด้วยความเคืองแค้นใจ และน้อยใจระคนกัน
อรุณศรีมองกลับเริ่มอย่างเดือดดาล อารมณ์กำลังขึ้นได้ที่ด้วยกันทั้งคู่ อรุณศรีมองหน้าปรานต์ แล้วตั้งใจประชด
“ย้ำเหลือเกินนะว่าแอ๊วมีคนอื่น อยากให้มีจริงๆ ใช่มั้ย เดี๋ยวจะมีให้ดู”
“ไม่ต้องเดี๋ยวหรอก ตอนนี้ก็มีอยู่แล้ว เพียงแค่ยังไม่ยอมรับ แต่ใจแอ๊วไปอยู่กับมันหมดแล้ว”
“มั่นใจขนาดนั้น” อรุณศรีเยาะ
“ปรานต์ไม่เคยดูผิด ไม่มีใครรู้จักแอ๊วดีเท่าปรานต์อีกแล้ว ตอนนี้ความรักของแอ๊วมันแทบไม่เหลือ มันไหลไปหาเงิน ไหลไปหารถสปอร์ตของไอ้ซื่อบื้อนั่นหมดแล้ว”
อรุณศรีทนไม่ได้ลุกพรวดขึ้นพร้อมกับทุบโต๊ะดังสนั่นร้าน คนในร้านแอบหันมามองนิดๆ ด้วยความอยากรู้แต่กลัวเสียมารยาท ปรานต์ไม่หวั่นไหว เงยหน้ามองอรุณศรีด้วยความไม่พอใจ
“ได้..ในเมื่อปรานต์มั่นใจว่าแอ๊วเป็นคนแบบนั้น แอ๊วก็จะเป็นให้ดู”
อรุณศรีประชดด้วยความโมโห แล้วก็เดินออกจากร้านกาแฟ ปล่อยให้ปรานต์นั่งแค้นอยู่ที่โต๊ะ คว้ากล่องแหวนที่วางอยู่มากำไว้แน่น ปรานต์คิดในใจว่า ยอมเสียหน้าแต่ไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน
กริชชัยเดินออกมาจากบริษัทด้วยความเซ็ง ทันใดนั้นสายตาก็พลันสะดุดเข้ากับอรุณศรีที่เดินพรวดพราดออกมาจากร้านกาแฟด้วยความหงุดหงิด กริชชัยคิด..ด้วยความอยากรู้ว่า ทำไมอรุณศรีถึงมาเดินคนเดียว
ขณะที่อรุณศรีเดินออกจากรั้วบริษัทด้วยความหงุดหงิด อรุณศรีรู้สึกเหมือนมีรถขับตามอยู่ ครั้นปรายตามองแล้วก็เห็นว่าเป็นรถกริชชัย
อรุณศรียิ่งแปลกใจที่เห็นกริชชัยจอดรถแล้วก็เดินมาหา อรุณศรีหนีบกระเป๋าติดตัวด้วยความไม่วางใจ กริชชัย
ถามเสียงขรึม พยายามทำตัวให้เป็นปกติ ไม่ตื่นเต้น
“คุณจะไปไหน”
“กลับบ้านค่ะ ฉันเพิ่งทำธุระเสร็จ”
“คุณก็ว่างแล้วสิ”
“ถ้าไม่รวมต้องกลับบ้าน ก็เรียกว่าว่างค่ะ”
“คุณไปทานข้าวกับผมได้หรือเปล่า” กริชชัยถามดื้อๆ
“คุณชวนฉันไปทานข้าว” อรุณศรีพูดและเพ่งมองหน้ากริชชัย
“ใช่... คุณฟังไม่ผิด”
อรุณศรีมองหน้ากริชชัย กัดริมฝีปากคิดแล้วก็ถามตรงๆ
“คุณสนใจฉันเหรอคะ... คุณชอบฉันหรือเปล่า”
กริชชัยถึงกับสะอึกหัวใจเต้นตูมตาม โครมคราม มองหน้าอรุณศรีที่รอฟังคำตอบอยู่ แล้วทำได้แค่กลืนน้ำลาย ลงคอ อยากจะตอบว่าชอบ..แต่มันพูดไม่ออก คำพูดมันติดอยู่ที่ริมฝีปาก จนกระทั่งอรุณศรีถอดใจรอ และรีบพูดตัดบท
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณลำบากใจ ฉันแค่ไม่เข้าใจที่คุณทำเหมือนให้ความสนใจฉันแบบนี้ ฉันก็แค่อยากรู้เหตุผล แต่ถ้าคุณบอกไม่ได้...ก็ไม่เป็นไร”
อรุณศรีหันหลังเดินต่อไป ทันใดนั้นกริชชัยก็โพล่งออกมา
“คุณเป็นคนพิเศษสำหรับผม”
อรุณศรีหยุดเดินหันมาถามต่ออีก
“พิเศษแบบไหน”
“ไม่รู้..มันเฉพาะตัว บอกไม่ถูก” กริชชัยตอบแบบเขินๆ
“คุณมีคนพิเศษแบบฉันเยอะหรือเปล่า” อรุณศรีรุกต่อ
กริชชัยเจอรุกแบบนี้เข้าไปก็เกิดอาการอายถึงกับไม่กล้าตอบ
“อย่างฝ้าย ใช่หรือเปล่า”
“คุณฝ้ายเนี่ยนะ” กริชชัยขมวดคิ้วไม่เข้าใจความหมายของอรุณศรี
“ใช่ คุณสนใจฝ้ายหรือเปล่า “
“ผมสนใจคุณมากกว่า”
อรุณศรีชิดหน้าเล็กน้อย
“ตอบไม่ตรงคำถาม”
“แต่ผมก็ตอบไปตั้งหลายคำถามแล้ว .. คุณนั่นแหละที่ยังไม่ได้ตอบผม”
อรุณศรีขมวดคิ้วลืมคำถามไปแล้ว กริชชัยถามอีกที
“ไปทานข้าวกับผมได้หรือเปล่า”
ระหว่างนั้นปรานต์ขับรถออกมาจากบริษัท M Group ด้วยความหงุดหงิด แล้วก็ต้องชะงัก เพราะเห็นภาพบาดตาบาดใจอยู่เบื้องหน้าไกลๆ ปรานต์เบรกรถแล้วแอบจอดดู เห็นอรุณศรีคุยกับกริชชัย ปรานต์กัดฟันกรอดด้วยความไม่พอใจ
อรุณศรีตัดสินใจตอบแบบลองเชิง
“ไปก็ได้ แต่กินร้านข้างถนนนะ คุณกินได้หรือเปล่า”
“ทำไมคิดว่าผมกินไม่ได้”
“คุณอาจจะไม่ชิน... อีกอย่างถ้าจะไปกินด้วยกัน ฉันขอเป็นคนเลี้ยง”
“ไม่ได้ ผมเลี้ยงถึงจะถูก”
“ถ้าคุณไม่ยอมให้ฉันเลี้ยง ฉันก็ไม่ไป”
อรุณศรีกำลังจะหันเดินไปต่อ กริชชัยรีบพูดขึ้น
“คุณเลี้ยงก็ได้” อรุณศรีหยุดฟัง
“แต่ครั้งหน้า คุณต้องให้ผมเลี้ยงตอบแทน” กริชชัยพูดต่อ
อรุณศรีหันมาบอก
“ฉันยังไม่ได้รับปากเลยว่าจะมีครั้งหน้า”
กริชชัยไม่ตอบโต้ รีบเดินมาเปิดประตูรถให้เพราะกลัวว่าอรุณศรีจะเปลี่ยนใจ
“เชิญครับ”
อรุณศรีเดินขึ้นรถไปแต่โดยดี ลับหลังอรุณศรี กริชชัยยิ้มกว้างอย่างมีความสุข..แล้วก็ปั้นหน้านิ่งเหมือนเดิม ก่อนจะเดินไปประจำที่คนขับ รถสปอร์ตหรูของกริชชัยเคลื่อนออกไปจากบริษัท
ปรานต์เฝ้ามองทุกอย่างด้วยความแค้นใจ
สุพรรณิการ์กำลังคุมเด็กพนักงานทำความสะอาดร้านสาดสุราในเย็นวันเดียวกัน
“มิลค์เชค เก็บขยะในห้องน้ำไปทิ้งให้เรียบร้อย แล้วไปเอาแก้วใหม่มาเพิ่มด้วย แก้วเก่าแตกหมดแล้ว หยิบมาเท่าไหร่อย่าลืมลงบัญชีไว้ด้วยนะ”
“ค่ะ พี่ฝ้าย” มิลค์เชค ลูกน้องชายในร่างหญิงสาวรับคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่ใหญ่และห้าว
สุพรรณิการ์มองตามแล้วก็ประชดไม่ได้
“นังมิลค์เชค ถ้าแกจะโตแล้วสวยขนาดนี้ ไม่ต้องเกิดเป็นผู้ชายก็ได้นะ เสียดายพันธุ์”
มิลค์เชคยิ้มอายอย่างมีจริตจกร้านเยี่ยงอิสตรี แล้วเดินเข้าห้องเก็บของไป
ทันทีที่ประตูห้องเก็บสต๊อกของปิด ประตูหน้าร้านสาดสุราก็เปิดออก พร้อมกับร่างปรานต์ที่เดินพรวดเข้ามาในร้านทันที พร้อมกับจะโกนเรียกเสียงดัง
“ฝ้าย”
สุพรรณิการ์หันขวับมาตามเสียงเรียก
“ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” ปรานต์เริ่มต้นจะถาม
“จะเอาเงินมาคืนฉันเหรอ” สุพรรณิการ์ดักคอด้วยน้ำเสียงกวน
ปรานต์สะอึก
“ยัง ฉันจะคุยเรื่องแอ๊ว”
สุพรรณิการ์นิ่งรอฟังด้วยหน้าตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับปรานต์นัก
“ฉันอยากรู้ว่าคอนโดไอ้กริชชัย เจ้านายแอ๊วอยู่ที่ไหน มันอยู่ห้องอะไร แอ๊วบอกว่าเธออยู่ที่เดียวกับมัน”
“จะไปยุ่งกับเค้าทำไม”
“มันกำลังหลอกแอ๊ว คนรวยอย่างมันไม่มีวันจะมาจริงจังกับแอ๊วอยู่แล้ว”
“ทำไมจะจริงจังไม่ได้” สุพรรณิการ์ถามด้วยความความฉุนเฉียว
“ไฮโซขนาดนั้นจะมาสนใจอะไรกับพนักงานระดับล่าง มันก็แค่เห็นของเล่น สุดท้ายก็ต้องไปแต่งงานกับพวกดาราระดับนางเอก หรือไม่ก็ไฮโซด้วยกัน”
สุพรรณิการ์มองปรานต์ด้วยความแค้น
“เมื่อกี๊ฉันเห็นแอ๊วไปกับมัน ฉันจะไปตามแอ๊วกลับบ้าน ถ้ารักเพื่อนก็บอกมาว่าไอ้กริชชัยมันอยู่ที่ไหน”
“ฉันคงบอกไม่ได้ เพราะคุณกริชเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ฉันไม่อยากมีปัญหา อีกอย่างนะ..ถึงแม้เค้าจะรวย แต่เค้าก็ไม่เคยคิดว่าเพื่อนฉันเป็นแค่ของเล่น”
“เข้าข้างมันแบบนี้ เชียร์มันอยู่ใช่มั้ย คงเห็นว่ารวยเหมือนกันล่ะสิ”
“รวยหรือไม่รวยไม่สำคัญ ขอแค่ไม่ทำเลวกับเพื่อนฉันก็พอ”
ปรานต์ฉุนอารมณ์ขึ้นอย่างแรง สุพรรณิการ์ตอบแทน
“ส่วนไอ้คนที่..ทั้งเลว ทั้งจน ไปให้พ้นจากชีวิตเพื่อนฉันได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี”
สุพรรณิการ์พูดจบก็เชิดหน้าอย่างไม่เกรงกลัวใคร ปรานต์ได้แต่กัดฟันกรอด
“มากไปแล้วนะเว้ย” ปรานต์โวยอย่างเหลืออด
ปรานต์ฟึดฟัดจะเข้ามาทำร้าย ทันใดนั้นการ์ดของร้านที่ยืนคุมเชิงดูเหตุการณ์อยู่ก็เดินพุ่งเข้ามาทันที ปรานต์
ถึงกับชะงัก สุพรรณิการ์ยืนเชิดกอดอกอย่างท้าทาย ปรานต์มองสภาพแล้วก็รู้ว่า สู้ไม่ได้ จึงจำใจถอย แต่ก็ยังไม่วายปากเก่ง
“ถ้าฉันกับฝ้ายเลิกกัน ฉันจะโทษว่ามันเป็นความผิดของเธอ”
ปรานต์ชี้หน้าอย่างอาฆาต แล้วเดินอาดๆ ออกไปจากร้านด้วยความโกรธแค้น
สุพรรณิการ์พยักหน้าให้การ์ดแยกย้ายกลับไปได้ การ์ดเดินแยกออกไปประจำหน้าร้านตามเดิม
สุพรรณิการ์มองตามปรานต์ไปแล้วก็คิดถึงอรุณศรี พลางถอนใจด้วยความเหนื่อยแทน
“เวรกรรมของไอ้แอ๊วจริง ๆ เฮ่อ”
สุพรรณิการ์บ่นอยู่คนเดียวด้วยความสงสารเพื่อนรัก
-----------------จบตอนที่ 16-----------------
อ่านสามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 16/2
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์