หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อ่านสามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 17

อ่านสามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 17
ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างถนนแห่งหนึ่งในเวลากลางคืน กริชชัยและอรุณศรีเข้ามานั่งที่โต๊ะ เด็กเสิร์ฟเข้ามารับออเดอร์รายการอาหาร

“แห้ง ซุป เหลา อย่างละหนึ่ง” เด็กเสิร์ฟจดรายการกันความผิดพลาดเพื่อไปที่คนขายที่กำลังลวกก๋วยเตี๋ยวอย่างว่องไว
“ขอกากหมูเจียว และผักบุ้งลวกเพิ่มด้วยนะครับ” กริชชัยสั่ง

บะหมี่แห้งหนึ่งชาม พร้อมน้ำซุปหนึ่งถ้วย ถูกยกมาวางตรงหน้ากริชชัย ส่วนของอรุณศรีเป็นเกาเหลาหนึ่งชามวางตรงหน้าเธอ อรุณศรีมองแล้วก็ทักขึ้น
“กินเยอะขนาดนี้ไม่กลัวอ้วนเหรอ”
“ผมเป็นคนชอบออกกำลังกาย” กริชชัยตอบยิ้มๆ
อรุณศรีมองกวนๆ แล้วพูดต่อ
“ตอบไม่ตรงคำถาม”
กริชชัยกำลังจะคีบก๋วยเตี๋ยวเข้าปากถึงกับชะงักคิด
“เออจริงด้วย โอเค งั้นตอบใหม่..ผมไม่กลัวอ้วน เพราะผมเป็นชอบออกกำลังกาย คิดว่าตรงแล้วนะ” กริชชัยพูดพลางยิ้มให้อรุณศรี
อรุณศรีหลบตาไม่กล้ามองตอนกริชชัยยิ้มนานแค่นร้องรับ “อืมม์..” แล้วก้มหน้าเตรียมจะกิน
ระหว่างที่กริชชัยกำลังกินและคิดบางอย่างในใจ หลังคิดออกแล้วก็ถามขึ้นด้วยความอยากรู้ โดยปูพื้นคำถามกับอรุณศรีว่า
“แล้วคุณตอบตรงคำถามหรือเปล่า”
“ค่อนข้าง ..” ว่าแล้วอรุณศรีก็ตักเกาเหลากำลังจะเข้าปาก
“งั้นผมมีคำถาม…”
อรุณศรีมองหน้า
“เมื่อตอนเย็น คุณทะเลาะกับแฟนอีกแล้วเหรอ”
อรุณศรีชะงัก ถือช้อนคาอยู่ที่มือ
“ใช่”
“ ทะเลาะกันเรื่องอะไร”
อรุณศรีเงยหน้ามองกริชชัย เห็นสายตากริชชัยที่กำลังรอคำตอบด้วยความอยากรู้ อรุณศรีคิดแล้วก็ตอบ
“เค้าขอฉันแต่งงาน”
กริชชัยใจหายวาบและอึ้งไป มองอรุณศรี ต่างคนต่างมองกันซึ่งกันและกัน

ในช่วงเวลาเดียวกัน วัชระกำลังตีลังกาท่าพิสดารกับเครื่องพิลาทิสที่อยู่ในห้องส่วนตัวของพิลาทิสสตูดิโอ โดยมีเทรนเนอร์คอยดูแลอย่างใกล้ชิด วัชระเปลือยท่อนบน เผยกล้ามอกและมัดกล้ามแข็งเกร็งแกร่ง ธีธัชเดินพรวดพราดเข้ามา
“Hi Mike” ธีธัชทักเทรนเนอร์
“Hi!” Mikeทักกลับมา แล้วหันไปสนใจวัชระต่อ
ธีธัชดินมาหาวัชระและก้มหน้าลงมาถาม
“ไอ้วัช วันนี้ไอ้กริชมาหรือเปล่า”
วัชระตอบอย่างลำบากเพราะกำลังติดพันอยู่กับเครื่องพิลาทิส
“มา...กินข้าวกับแอ๊วเรียบร้อยแล้วมันจะรีบตามมา”
ธีธัชเงยหัวขึ้นเพิ่งจะนึกตามในสิ่งที่วัชระพูดได้
“ไอ้กริชไปกินข้าวกับแอ๊ว... แบบนี้ก็มีลุ้นดิ ถึงว่าโทร.ไม่รับสายสงสัยจะกำลังหวีตกันแหงๆ”
ธีธัชยิ้มกริ่มพลางคิดว่ากริชชัยต้องแฮปปี้สุดๆ แน่งานนี้

ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างถนน กริชัยอึกอักเล็กน้อยไม่ได้มีความสุขตามที่เพื่อนคิดแม้แต่น้อย กริชชัยตัดสินใจถามย้ำอีกที
“เค้าขอคุณแต่งงาน…แล้วทำไมทะเลาะกัน” กริชชัยน้ำเสียงจริงจัง
อรุณศรีคิดและตัดสินใจตอบ
“พราะฉันไม่อยากแต่ง เค้าก็เลยโมโห ไม่พอใจ”
กริชชัยเผลอตัวยิ้มโดยไม่รู้ตัว
“คุณไม่อยากแต่งงาน” กริชชัยน้ำเสียงตื่นเต้น
อรุณศรีมองหน้ากริชชัยแปลกใจนิดๆ
“ใช่... ทำไมต้องทำเสียงตื่นเต้นด้วย”
“เอ่อ..ก็..แค่แปลกใจ” กริชชัยเฉไฉแล้วรีบถามต่อทันที
“แล้วทำไมคุณไม่อยากแต่ง”
“เหตุผลชาวบ้านๆ น่ะ คนรวยอย่างคุณไม่เข้าหรอก” อรุณศรีบอก
“ปัญหาเรื่องเงิน เรื่องผู้หญิงอื่น” กริชชัยสวนขึ้นมาทันที
อรุณศรีมองหน้าแปลกใจที่กริชชัยรู้ กริชชัยยักคิ้วเล็กน้อย อรุณศรีจำต้องพยักหน้ายอมรับ
“อือ... ทำนองนั้น ฉันก็เลยบอกให้เค้าไปแก้ปัญหามาก่อน ค่อยคุยกันใหม่”
“แล้วถ้าเค้าแก้ปัญหาได้...คุณจะเปลี่ยนใจอยากแต่งงานหรือเปล่า” กริชชัยรีบถามต่อ
อรุณศรีเงียบและคิด กริชชัยรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“ฉันยังไม่รู้..”
กริชชัยแปลกใจ
“ทำไม”
อรุณศรีน้ำเสียงเริ่มจริงจัง
“เรื่องแต่งงานมันเรื่องใหญ่นะคะ ฉันไม่อยากแต่งด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ฉันยืนอยู่บนความจริง ความรักของฉันไม่ได้เป็นสีชมพูเหมือนตอนเด็กๆ และการแต่งงานก็ไม่ใช่ทางออกที่จะทำให้พ้นจากคำว่าขึ้นคาน”
กริชชัยฟังแล้วอมยิ้มนิดๆ ด้วยความชื่นชม
“แต่มันหมายถึงเราพร้อมแล้วที่จะใช้ชีวิตอยู่กับเค้า อยู่อย่างเข้าใจและแบ่งปัน ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์... ถ้าฉันคิดจะแต่งงานกับใคร ฉันก็อยากอยู่กับเค้าไปตลอดชีวิต ถ้าไม่มั่นใจ... ขอไม่แต่งดีกว่า”
กริชชัยฟังแล้วถึงกับยิ้มตาม..เห็นด้วยสุดๆ อรุณศรีเงยหน้ามองกริชชัย กริชชัยรีบหุบยิ้มทำหน้านิ่ง อย่างฉับพลัน
“ฉันตอบจริงจังไปหรือเปล่าคะ”
“ก็มันเป็นเรื่องจริงจังนี่ครับ…ผมเห็นด้วยเรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ต้องคิดให้ดีๆ แล้วก็เห็นด้วยว่า…ถ้าไม่ดี ไม่พร้อมก็ไม่ควรแต่ง แต่ถ้าเห็นว่าดีแล้ว..พร้อมแล้ว..ก็แต่งไปเลยครับ”
อรุณศรีมองหน้ากริชชัยอย่างไม่เข้าใจ เมื่อพูดออกไปแล้ว กริชชัยเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเหมือนยุให้อรุณศรีไปแต่งงานกับแฟน จึงพูดอะไรต่อไปไม่ถูก อรุณศรีก็พูดไม่ออกเหมือนกัน
“ค่ะ…ฉันก็เห็นด้วย” อรุณศรีตอบไปตามมารยาท
กริชชัยได้แต่ลูบปาก คิดด่าตัวเองในใจ

หลังจากทานอาหารเรียบร้อยแล้ว กริชชัยตามมาสมทบกับสองเพื่อนที่ พิลาทิสสตูดิโอ กริชชัย ธีธัชและวัชระออกกำลังกายไปด้วย คุยไปด้วย
“แล้วแกสะเออะไปให้คำปรึกษาแบบนั้นทำไมวะ” ธีธัชถาม
“มันหลุดปากออกไปแบบไม่รู้ตัว ฉันก็แค่พูดออกไปตามความเป็นจริง” กริชชัยบอก
“ถ้าเค้าเกิดแต่งไปจริงๆ แกจะทำไง”
“ฉันก็ได้แต่ภาวนาว่าเค้าจะไม่แต่ง แต่จังหวะนั้น จะให้ฉันฉวยโอกาสแทงข้างหลัง ใส่ไฟให้เค้าเลิกกับแฟน ฉันก็ทำไม่ได้ว่ะ” กริชชัยน้ำเสียงจริงจัง
วัชระกับธีธัชส่ายหน้าพร้อมกัน
“เฮ้ยขอร้องล่ะ เลิกทำตัวเป็นคนดีได้แล้ว เดี๋ยวผู้หญิงสับสน” ธีธัชบอก
“สับสนอะไร” กริชชัยถาม
“เอ๊า! ก็แกไปเดินตามเค้า แอบมอง เป็นห่วงเป็นใยสารพัด แล้วอยู่ๆ ก็บอกให้เค้าไปแต่งงานกับแฟนถ้าคิดดีแล้ว..เป็นใครก็ต้องงง” ธีธัชบอก
วัชระหันไปหยิบผ้าเช็ดตัว ก่อนจะเดินพูด
“ใช่ ขนาดฉันสองคน ยังงงเลย”
ธีธัชพยักหน้ารับ
“ตกลงแกจะเอายังไง จะ “จีบ” หรือว่าจะ “เป็นโรคจิต” ถ้าแกไม่รีบทำตัวให้ชัดเจนตามที่แกได้ประกาศไว้ว่าจะจีบอรุณศรี แกก็เตรียมตัววืดได้เลย... อดแน่ๆ” วัชระพูดต่อ หลังพูดจบก็เดินออกไปเตรียมตัวอาบน้ำ
“ถูก” ธีธัชย้ำผสมโรง
เจอสองหนุ่มสวดยับกริชชัยคิดหนักจนเริ่มเครียด

ประตูล็อคเกอร์ของวัชระเปิดออก ตอนหยิบเสื้อออกจากกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวไปอาบน้ำ บังเอิญมือไปเกี่ยวเอาบัตรคอนเสิร์ตสุนทราภรณ์จำนวน 2 ใบหล่นร่วงลงมาที่พื้น วัชระกำลังจะก้มลงเก็บ แต่ทันใดนั้นก็มีมือของธีธัชเข้ามาหยิบก่อน ธีธัชหลิ่วตาเริ่มไม่ไว้วางใจวัชระ
“บัตรคอนเสิร์ตสุนทราภรณ์... ของแกเหรอ”
วัชระเอื้อมมือยื่นมาหยิบบัตร ธีธัชหยิบบัตรคอนเสิร์ตหลบทันที
“ทำไมมี 2 ใบ แกจะไปดูกับใคร... ไปดูกับแม่เหรอ” ธีธัชจอมกะล่อนพูดหยั่งเชิง
“ไม่ใช่ แล้วก็...ไม่บอกเว้ย” วัชระมองธีธัชอย่างกวนๆ
ธีธัชหลิ่วตาคิดถึงลำเภา วัชระเห็นว่ามีจังหวะรีบดึงบัตรคืนมา ยัดใส่กระเป๋าพร้อมกับปิดประตูล็อค
เกอร์ทันที แล้วก็เดินไปอาบน้ำ ธีธัชมองตามด้วยความอยากรู้ว่า วัชระจะไปดูกับใคร

วัชระเดินออกจากพิลาทิสสตูดิโอ ตรงไปยังลานจอดรถ พร้อมๆ กับเปิดประตูรถเข้าไปนั่งในตำแหน่งคนขับ ทันใดนั้นธีธัชก็เปิดประตูเข้ามานั่งข้างๆ ทันที วัชระคิดไม่ถึง
“เฮ้ย! ไอ้ธี แกมานั่งตรงนี้ทำไมวะ”
“แกจะไปไหน” ธีธัชยิ้มเจ้าเล่ห์
“ไปบ้านเภา”
“คืนนี้แกนอนที่นู่นเหรอ”
“เออ...คงจะไปนอนสักพักจนกว่าเคลียร์เรื่องแหนมให้เรียบร้อย”
“ฉันไปด้วย” ธีธัชพูดเนียนๆ
วัชระผงะ
“แก...จะไปกับฉันเนี่ยนะ หรือว่าแกจะไปหาเภา”
“ใช่ ฉันจะไปเอารถคืน เมื่อเช้ายัยเด็กบ๊องขโมยรถฉัน แล้วก็ปิดเครื่องหายไปเลย ถ้ายัยเด็กบ้าไม่เอารถไป ฉันก็ไม่อยากจะไปหรอก” ธีธัชกลบเกลื่อนแก้ตัวให้ดูสมจริง
วัชระมองๆ หน้าธีธัชด้วยสีหน้าและแววตาไม่อยากเชื่อ จนธีธัชต้องหันมาย้ำ
“จริ๊ง!! พูดจริงนะเนี่ย” ธีธัชพูดเสียงสูง
“เออๆๆ จริงก็จริง” วัชระพุดพลางพยักหน้าไปงั้นๆแต่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
ธีธัชทำนั่งหน้านิ่ง ไม่รู้ไม่ชี้ ยักไหล่ย้ำว่า..ถูกต้องแล้วที่คิดแบบนั้น
วัชระส่ายหน้านิดๆ พร้อมกับพึมพำ
“เพื่อนกูแต่ละคน...เข้าใจยากจริงๆ”
วัชระสตาร์ทรถออกจากลานจอดรถเพื่อไปบ้านลำเภาในทันที

ขณะที่เพื่อนๆ กลับไปหมดแล้ว แต่กริชชัยยังคงเล่นเครื่องพิลาทิสอยู่คนเดียว ระหว่างที่เล่นไปก็คิดถึงสิ่งที่เพื่อนๆ เตือน
ธีธัชบอกว่า
“เฮ้ยขอร้องหล่ะ เลิกทำตัวเป็นคนดีได้แล้ว เดี๋ยวผู้หญิงสับสน” กริชชัยสงสัยว่าสับสนอะไร? “เอ๊า ! ก็แกไปเดินตามเค้า แอบมอง เป็นห่วงเป็นใยสารพัด แล้วอยู่ๆ ก็บอกให้เค้าไปแต่งงานกับแฟนถ้าคิดดีแล้ว..เป็นใครก็ต้องงง”
ในขณะที่วัชระบอกว่า
“ใช่ ขนาดฉันสองคน ยังงงเลย ตกลงแกจะเอายังไง จะ “จีบ” หรือว่า “เป็นโรคจิต” ถ้าแกไม่รีบทำตัวให้ชัดเจนตามที่แกได้ประกาศไว้ว่าจะจีบอรุณศรี แกก็เตรียมตัววืดได้เลย... อดแน่ๆ”

ห้วงเวลานั้นเองภาพของอรุณศรียิ้มน่ารักในอิริยาบถต่างๆ ผ่านเข้ามาในห้วงความคิด กริชชัยเริ่มคิดหนัก พลางพึมพำกับตัวเองว่า
“จีบแบบชัดเจน…มันต้องทำยังไงวะ”

พอแยกตัวจากกริชชัย อรุณศรีก็กลับเข้าบ้าน พอมาถึงบ้านแล้วไม่นานเท่าไหร่ก็มีโทรศัพท์จากสุพรรณิการ์ซึ่งเวลานั้นอยู่ในห้องทำงานชั้นบนของร้านสาดสุราโทรเข้ามือถือ อรุณศรีคุยโทรศัพท์ไปและล้างเครื่องสำอางไป เพื่อเตรียมตัวอาบน้ำ
“ฉันไม่รู้หรอก” อรุณศรีตอบสุพรรณิการ์
สุพรรณิการ์เดินไปคุยไป
“แกก็ลองทายมาสิว่าใครชวนฉันไปดูคอนเสิร์ต”
อรุณศรีวางมือจากการเช็ดหน้า พลางคิดนิดนึง ก่อนจะตอบแบบแอบลองเชิงเพื่อน
“คุณกริชชัย”
สุพรรณิการ์รีบบอกยิ้มๆ
“ม่ายช่าย”
อรุณศรีแอบโล่งอกนิดๆ อมยิ้มหน่อยๆ แล้วเก๊กเสียงถามต่อ
“ใคร “
“เดาสิ”
อรุณศรีทำหน้าเมื่อย
“ไม่เดา ขี้เกียจ รีบๆ บอกมาเลย ใครชวนแกไปดูคอนเสิร์ต”
สุพรรณิการ์ตอบพร้อมอมยิ้ม กรุ้มกริ่ม
“ร้อยตำรวจเอกวัชระ”
อรุณศรีนึกแปลกใจ
“คุณวัชเนี่ยนะ แต่คุณวัชเค้ามีแฟนแล้วไม่ใช่เหรอ”
สุพรรณิการ์ตอบสบายๆ ด้วยน้ำเสียงแบบไม่สนใจและไม่มีกังวล
“ใช่เค้ามีแฟน แต่เค้าไม่มีเพื่อนไปดูคอนเสิร์ตเค้าก็เลยชวนฉัน”
อรุณศรีถามน้ำเสียงกังวลนิดๆ
“แล้วแกจะไปหรือเปล่า”
“ไปสิ แค่ไปดูคอนเสิร์ตไม่เห็นต้องคิดมากเลย ฉันไม่ใช่แกนี่ คิดอยู่นั่นแหละ คิดจนผู้ชายดีๆจะหนีไปเป็นตุ๊ดแล้ว” สุพรรณิการ์แบบประชด
อรุณศรีขำ ทั้งที่ในใจออกจะหวาดๆ
“พอเลย... เรื่องคุณกริชกับฉัน เราเป็นแค่เพื่อนกัน วันนี้เค้ายังให้คำปรึกษาเรื่องปรานต์อยู่เลย เค้าบอกว่าถ้าฉันเห็นว่าดี..ก็น่าจะแต่งงาน”
สุพรรณิการ์เดินมานั่งที่ริมหน้าต่าง สุพรรณิการ์เลิกคิ้วด้วยความงง อรุณศรีพูดต่อ
“ถ้าเค้าชอบฉัน..เค้าคงไม่พูดแบบนี้ ฉันว่าแกเลิกแซวได้แล้ว ดูแลตัวเองให้ดีๆ เถอะ ไปดูคอนเสิร์ตกับแฟนคนอื่น ระวัง...คอนเสิร์ตจบ คนไม่จบ”
พูดแค่นั้นอรุณศรีก็วางสายทันที

เสียงสุพรรณิการ์โวยวาย
“เฮ้ย พูดงี้หมายความว่าไงหะ แอ๊ว..ยัยแอ๊ว..แอ๊ว”
สุพรรณิการ์วางสายตามอรุณศรีไป
“ทิ้งระเบิดแล้ววางไปเลยนะ หนอย”
หน้าวัชระแว่บเข้ามาในความคิดของสุพรรณิการ์ เธอสะบัดหน้าพยายามไล่ภาพให้ออกจากหัวและพยายามไม่คิดต่อ
“บ้า...เป็นไปไม่ได้ “

ลำเภายืนมองหน้าธีธัชที่ยืนหน้าเนียนๆ ในบริเวณบ้านตอนกลางคืนของวันเดียวกัน ลำเภาหันมาถามวัชระ
“เป็นไงมาไงเนี่ย”
วัชระพยักหน้ามาทางธีธัช
“มันอยากมาหาเภา” พูดจบวัชระเดินตรงเข้าห้องนอนไปทันที
ธีธัชสะดุ้ง
“เฮ้ย! ฉันบอกแล้วไง ฉันไม่ได้อยากมาหายัยเด็กบ๊อง แต่ฉันจะมาเอารถ”
ธีธัชพูดพลางหันมาทางลำเภา
“เอารถฉันคืนมา” พูดพลางยื่นมือมาเพื่อเอากุญแจรถ
“เอาคืนไป”
ลำเภาส่งกุญแจให้แต่โดยดี ธีธัชรับกุญแจมา ลำเภาไม่มีข้อแม้ใดๆ ต่างจากทุกครั้ง
“คืนกันง่ายๆ แบบนี้เนี่ยนะ” ธีธัชพึมพำ
“ใช่ ..ฉันเบื่อแกล้งมุกเดียวนานๆ เอาไว้แกล้งมุกใหม่ สะใจกว่า”
ลำเภาพูดสวนขึ้นแล้วยิ้มกวน ธีธัชปรายตามองด้วยความหมั่นไส้

วัชระเปลี่ยนจากกางเกงมาใส่ผ้าขนหนู แล้วก็เดินเข้าห้องน้ำในห้องนอน ที่อ่างล้างหน้า วัชระเอื้อมมือไปเปิดน้ำจะล้างมือ ปรากฏว่าน้ำไม่ไหล วัชระหันไปกดชักโครกก็ไม่มีน้ำ

ลำเภากับธีธัชยังคงยืนประจันหน้ากันอยู่
“ได้รถคืนแล้ว ทำไมยังไม่กลับ..อยากอยู่กับฉันนานๆ ล่ะสิ๊” ลำเภาเสียงสูงกวนประสาท
ธีธัชอ้าปากกำลังจะเถียง วัชระก็เดินออกมาจากห้องนอน ในชุดผ้าขนหนูครึ่งท่อน
“เภา..ห้องน้ำผม ใช้ไม่ได้ ท่อน้ำเป็นอะไรหรือเปล่า” วัชระถาม
“มันเสีย ลืมบอก คุณวัชใช้ห้องน้ำในห้องนอนเภาก่อนก็ได้”
ธีธัชชะงักและสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อเห็นวัชระนุ่งผ้าขนหนูปิดช่วงล่างไว้อย่างล่อแหลม
“โอเค” วัชระตอบ
วัชระเดินไปที่ห้องนอนลำเภาอย่างกันเอง ธีธัชมองตามด้วยความไม่พอใจ ลับหลังวัชระ ธีธัชหันกลับมาถามลำเภา
“ไอ้วัชมันใส่ผ้าขนหนูเดินไปเดินมาในบ้านเธอแบบนี้ทุกวันเหรอ แล้วเธอก็ให้มันเข้าไปในห้องนอนเธอเนี่ยนะ”
“หึงอ่ะดิ๊” ลำเภาถามกวน
ธีธัชชะงัก แต่ไม่ยอมรับ
“หึงบ้าอะไร ฉันเป็นห่วงเพื่อน เกิดแหนมสะกดรอยตามมาที่นี่ แล้วเห็นมันใส่ผ้าขนหนูเดินเข้าห้องเธอ มีหวังไอ้วัชมันตายแน่ๆ”
ลำเภายิ้มกริ่ม..ไม่เชื่อ แล้วก็พูดลอยๆ อย่างรู้ทันธีธัช
“ข้ออ้าง”
“ฉันไม่ได้อ้าง…ฉันพูดความจริง” ธีธัชยังเถียงอย่างหน้าดำคร่ำเครียด

หลังอาบน้ำและทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย วัชระเดินออกมาจากห้องน้ำภายในห้องลำเภา เป็นต่อกับพอใจยืนขวางพร้อมทำเสียงขู่ในลำคอ วัชระถึงกับสะดุ้ง
“เฮ้ย”
เป็นต่อกับพอใจกระหน่ำเห่าด้วยเสียงอย่างหมาเล็กใส่วัชระอย่างเอาจริง

ลำเภากับธีธัชหันตามเสียงเห่าที่ห้องนอนลำเภา เสียงวัชระก็ดังขึ้น
“เห่าอะไร นี่ป๊ะป๋าไงจำไม่ได้เหรอ” วัชระพูดกับเป็นต่อกับพอใจ
ธีธัชได้ยินที่วัชระพูดถึงกับหน้าเหวอ เสียงเห่าเงียบหายไป กลายเป็นเสียงครางหงิงหงิงตามประสาหมาเล็ก
“ดีมาก...เดี๋ยวป๊ะป๋าเกาหลังให้ เป็นรางวัล” เสียงวัชระดังเล็ดลอดออกมาจากในห้อง
ตามด้วยเสียงเป็นต่อกับพอใจเห่ารับอย่างเข้าใจในคำพูดของวัชระ ธีธัชถึงกับอึ้งไป
“ป๊ะป๋า” ธีธัชพึมพำเบาๆ
ลำเภายื่นหน้าเข้ามา อย่างรู้ทันว่าธีธัชคิดอะไรอยู่
“ใช่...ก็เป็นต่อกับพอใจ มีฉันเป็นหม่ามี๊ คุณวัชมาอยู่ที่นี่ประจำก็ต้องเป็นป๊ะป๋า .. ป๊ะป๋ากับหม่ามี๊..น่ารักดีออก” ลำเภายิ้มอย่างหน้าชื่น
ธีธัชหันมามองหน้าแล้วก็ปรายตาอย่างดูถูก
“ปัญญาอ่อน” ธีธัชประชดเพราะความหึงหวง ลำเภามองธีธัชด้วยแววตาไม่พอใจ
“อิจฉาล่ะสิ” ลำเภาพูดแทงใจดำธีธัช
ธีธัชไม่ตอบแต่เดินมาหย่อนก้นลงนั่งที่โซฟายาว
“คืนนี้ฉันจะนอนที่นี่ เพราะขี้เกียจขับรถกลับบ้าน” ธีธัชประกาศต่อหน้าลำเภา
“อ้าว..เนียน .. นี่บ้านฉันไม่ใช่โรงแรมนะ ใครนึกอยากจะนอนก็ได้นอน”
“ฉันก็ไม่อยากจะนอนหรอกนะ ถ้าเธอไม่ขโมยรถฉันไปเมื่อเช้า คืนนี้ฉันก็ไม่ต้องมาหาเธอ และตอนนี้มันก็ดึกเกินไปแล้ว ฉันไม่อยากขับรถกลับบ้านดึกดื่นๆ มันอันตราย”
ธีธัชยักคิ้วกวนๆ แล้วก็หันไปเปิดทีวี พร้อมกับกดไล่หาช่องแฟชั่นทีวี
ลำเภากอดอกเชิดหน้าพูดอย่างรู้ทัน
“จะอยู่กันท่า ก็บอกมาเหอะ”
“ใช่..เพราะฉันไม่ไว้ใจเธอ กลัวว่าเธอจะปล้ำไอ้วัช แต่ฉันไว้ใจไอ้วัช เพราะฉันรู้ว่าอย่างเธอ..มันไม่เอา”
ธีธัชพูดด้วยความสะใจ ลำเภาได้แต่กัดฟันกรอด

วัชระเดินออกมาจากห้องนอนลำเภาจรงไปยังห้องครัวในชุดผ้าขนหนูครึ่งท่อนเหมือนเดิม วัชระเดินมาเกาก้นตัวเองไปด้วยอย่างไม่เคอะเขิน ลำเภาหันไปเห็นพอดี ถึงกับเบ้หน้าคิดในใจว่า ไม่มีมาดผู้กองเหลือติดตัวอยู่เลย
“ยังกะเพื่อนตัวเอง...น่าเอาตาย” ลำเภาพูดเปรยเบาๆ เมื่อนึกถึงธีธัชพูดสบประมาทไว้เมื่อครู่
วัชระชะโงกหน้าลงไปในหม้ออาหารใบเล็กๆ ที่ตั้งอยู่
“ของเป็นต่อกะพอใจใช่ป่ะ”
“อือ” ลำเภาตอบพลางพยักหน้า
“พี่ขอกินหน่อยนะ...หิว”
ลำเภายังไม่ทันจะอ้าปาก ธีธัชสวนขึ้นทันที
“แกจะกินอาหารหมา”
“เฮ้ย…เภาเค้าทำสะอาด ฉันเห็นเค้าทำเหมือนอาหารคนเลย กินได้สบายมาก ตอนแรกฉันก็ไม่กล้ากิน แต่ฉันเห็นเภาทำไปชิมไป ก็เลยคิดว่าน่าจะกินได้” วัชระพูดพลางพูดไปตักใส่ถ้วยและตักกินก่อนจะหันมาทางลำเภา
“เภาอร่อยดี พี่ชอบ คราวหน้าทำเผื่อพี่ด้วยนะ” วัชระพูดพลางหันมายิ้มกับลำเภา
ลำเภาอ้าปากจะพูดอีกแต่ไม่ทัน เพราะวัชระหันไปเห็นว่า ธีธัชเปิดช่องแฟชั่นทีวีอยู่ก็ตะโกนสวนขึ้นมา
“เฮ้ย ไอ้ธี ช่องนี้เลย”
วัชระก็เดินถือถ้วยใส่อาหารหมา พุ่งผ่านหน้าลำเภาไปนั่งข้างๆ ธีธัช
“แฟชั่นทีวี”
“แกเคยดูหลังเที่ยงคืนป่ะ” ธีธัชถาม
“โต้รุ่งมาแล้ว” วัชระบอก
“เป็นไง”
“ทะลุจอ”
ทั้งวัชระ ธีธัช หัวเราะร่วนด้วยน้ำเสียงสุดหื่น ลำเภาถึงกับส่ายหน้า
“ผู้หญิงพวกนั้น ชอบไอ้ผู้ชาย สองคนนี้ได้ไงเนี่ย..ไม่เข้าใจจริงๆ”
ลำเภาส่ายหน้าแล้วหันหลังเดินไปห้องอย่างเอือมระอา
ลำเภาค่อยๆเดินห่างจากสองหนุ่ม วัชระกำลังอยู่ในชุดผ้าขนหนูครึ่งท่อน ถือถ้วยอาหารหมา
และดูแฟชั่นทีวีตาเป็นมัน ส่วนธีธัชก็นั่งดูทีวี เอาเท้าพาดโต๊ะอย่างไม่สำรวม ในมือถือโทรศัพท์กดแชทกับ
สาวไปด้วย ดูแฟชั่นทีวีไปด้วยอาการหื่นพอกัน
ลำเภาถอนหายใจ คิดถึงสุภาษิตจีนบทหนึ่งที่ว่า

“บนโลกมีผู้ชายที่เพียบพร้อมและแสนดีอยู่เพียงสองคน...คนนึงตายไปแล้ว และอีกคน...ยังไม่เกิด”

อ่านสามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 17
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์