หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อ่านสามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 17/2

อ่านสามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 17/2
คืนเดียวกัน กรกนกกำลังผสมเครื่องดื่มค็อกเทลและส่งให้เด็กเสิร์ฟในร้านสาดสุรา ระหว่างนั้นมือถือของเธอก็มีเสียงข้อความเข้า พร้อมกับไฟวาบขึ้น กรกนกหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอ่าน

“คืนนี้ไม่กลับนะจ๊ะ นอนบ้านยัยเด็กบ๊อง”
กรกนกอ่านแล้วถึงกับหน้าเสีย..เสียงเพลงในร้านเป็นเพลงเศร้าพอดี กรกนกกระพริบตาถี่ๆ..ไม่อยากร้องไห้ออกมาตอนนี้ พยายามกลั้นไว้ และหยิบโทรศัพท์มากดขึ้นสเตตัสในเฟซบุ๊คตัวเอง
“เบื่อออออ..!!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงเตือนว่ามีคนเข้ามาคอมเม้นท์ กรกนกหยิบมาเปิดอ่าน ที่แท้โอบบุญเข้ามาคอมเม้นท์ว่า “จะทำของอร่อยๆ ไปให้นะครับ อยู่ที่ร้านเปล่า”
กรกนกยิ้มนิดๆ แล้วก็พิมพ์กลับไป
“กินของอร่อยไม่ได้ทำให้หายเบื่อนะคะ ?”

โอบบุญอยู่ที่บ้านกดอ่านข้อความที่กรกนกส่งมาแล้วก็อมยิ้ม พิมพ์กลับไป
“แต่อย่างน้อยก็เบื่อแบบไม่หิวนะครับ”
กรกนกกดอ่านแล้วก็ยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม...กรกนกกดพิมพ์ตอบกลับไป
“ขอบคุณค่ะ”
โอบบุญกดอ่าน แล้วยืนยิ้มอยู่คนเดียวดีใจที่กรกนกไม่ได้ปฎิเสธ โอบบุญรีบเดินไปในครัว แล้วก็เปิดตู้เย็นหยิบวัตถุดิบ หยิบกระทะเตรียมทำอาหารไปให้กรกนก
กรกนกยืนอยู่ในร้าน...อมยิ้มนิดๆ.. เสียงเพลงค่อยๆ ดังขึ้น
“อาจจะเป็นคนนี้ ที่เราเฝ้าคอยไขว่คว้า ที่เราคอยมองหา ที่คงไม่ทำให้เราช้ำใจ อาจจะเป็นคนนี้ ที่ใจจะไม่โหดร้าย เกินไป หวังว่าใจ เค้าคงดี”
กรกนกยืนยิ้ม เป็นความรู้สึกดีๆ ที่ทำให้คืนสุดเหงาของเธอคืนนี้..เศร้าน้อยลง

เช้าวันต่อมา เด็กในร้านเครื่องเสียงกำลังเล่นเพลง “อาจจะเป็นคนนี้” ในขณะที่ปรานต์เดินเข้ามาในร้านด้วยความหงุดหงิด
“เบาๆ หน่อย ดังไปแล้ว” ปรานต์บอกลูกน้อง
ลูกน้องรีบหรี่เสียงเพลงเบาลงทันที
ปรานต์เดินหงุดหงิดเข้าไปที่ห้องทำงานแล้วโยนกระเป๋างานและกุญแจรถลงบนโต๊ะแล้วก็เดินมานั่งด้วยความเซ็ง
ปรานต์หยิบโทรศัพท์มือถือมาโทร.หาอรุณศรี
เสียงอรุณศรีผ่านมาที่เครื่องของปรานต์
“ตอนนี้แอ๊วรับสายไม่ได้ รบกวนฝากข้อความไว้นะคะ ขอบคุณค่ะ”
ปรานต์กดโทรศัพท์ทิ้งด้วยความหงุดหงิด
“ทำไมไม่รับ กกอยู่กับไอ้ซื่อบื้อล่ะสิ” ปรานต์พูดพลางกัดฟันด้วยความแค้น
ทันใดนั้นเสียงของเกียวก็ดังขึ้น
“คิดอะไรอยู่จ๊ะ...หน้าเครียดจังเลย”
ปรานต์สะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นเกียวยืนอยู่ ปรานต์รีบพยายามทำหน้าให้เป็นปกติ
“ก็...เรื่องงานน่ะครับ”
“โถๆๆๆ..น่าสงสารที่สุด.. พี่มีวิธีช่วยคลายเครียดนะ...สนใจหรือเปล่า” เกียวยิ้มหวานและรีบเดินมาโอบไหล่ปรานต์
ปรานต์มองหน้า แล้วก็ยิ้มรับแทนคำตอบ

เกียวเดินนำปรานต์เข้ามา เมื่อประตูคอนโดฯ ถูกเปิดออก เผยให้เห็นห้องขนาดไม่กว้างใหญ่มาก และตบแต่งแบบง่ายๆ ไม่หรูหราแต่น่าอยู่ทีเดียว
“เข้ามาเลยจ้ะ” เกียวเชื้อเชิญ
ปรานต์มองไปรอบๆ ห้องพักในคอนโดอย่างงงๆ
“คอนโดฯใครครับ”
“ชอบมั้ยล่ะ”
“ชอบครับ..สวยดี วิวก็ดี”
“ชอบงั้นก็ย้ายเข้ามาอยู่เลยนะ”
ปรานต์เลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ย้ายมาอยู่ที่นี่”
ปรานต์ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
“คืองี้..เพื่อนพี่เค้าขี้เกียจเก็บค่าเช่า เค้าก็เลยปล่อยขาย พี่ก็เลยว่าจะซื้อไว้ เวลามากรุงเทพฯจะได้ไม่ต้องไปนอนโรงแรม พี่ไม่ค่อยชอบ เวลาเจอกับปรานต์ที่โรงแรมทีไร รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเมียน้อยหรือเป็นกิ๊กไงไม่รู้”
ปรานต์สะดุ้ง เกียวไม่ทันสังเกตพูดต่อประสาซื่อ
“พี่ก็เลยอยากมีพื้นที่ส่วนตัวของเราสองคน ตอนนี้ปรานต์ก็เช่า อพาร์ทเม้นท์อยู่คนเดียว พ่อแม่ก็เสียไปหมดแล้ว ย้ายมาอยู่กับพี่ที่นี่แหละ มาอยู่ด้วยกันนะ”
ปรานต์อึกอักกังวลว่าอรุณศรีจะรู้
“มันจะดีเหรอครับ ห้องนี้เป็นห้องพี่...ถ้าผมย้ายมาอยู่ด้วย เหมือนผมเกาะพี่กินยังไงไม่รู้ ถ้ามันเป็นห้องผม ผมซื้อเองก็ว่าไปอย่าง”
เกียวยื่นข้อเสนอทันที
“งั้นเอางี้...พี่จะใส่ชื่อปรานต์เป็นเจ้าของห้อง แล้วเราก็ทำสัญญากู้เงิน ปรานต์ก็ผ่อนให้พี่เป็นเดือนเหมือนจ่ายค่าเช่า พอจ่ายหมดห้องก็จะเป็นของปรานต์โดยสมบูรณ์”
ปรานต์ถึงกับอึ้งคิดไม่ถึง
“พี่ทุ่มเทกับผมขนาดนี้เลยเหรอครับเนี่ย”
“ถามแปลกๆ ก็ปรานต์เป็นแฟนพี่...พี่ก็ต้องเต็มที่อยู่แล้ว คนอย่างพี่...ให้ได้ทุกอย่าง ขออย่างเดียว … “รักพี่ให้มากๆ” แค่นั้นก็พอ”
ปรานต์ยิ้มรับด้วยความพอใจ
“ไม่ต้องห่วงครับ…ผมจะรักพี่ให้มากกว่าที่พี่รักผม” ปรานต์ป้อใส่เกียวทันที
เกียวยิ้มเชื่อ ปรานต์หอมแก้มเกียวเป็นการยืนยัน แล้วก็ดึงเกียวเข้ามากอด เกียวยิ้มอย่างมีความสุข ขณะที่รอยยิ้มของปรานต์ฉาบและฉายแววระดับเจ้าเล่ห์ชั้นเซียน

ตอนกลางวันอีก 2-3 วันต่อมา เนตรนภัสโพล่งใส่โทรศัพท์ด้วยความฉุนเฉียว ภายในห้องรับแขกที่บ้าน ปลายสายเป็นแวว มารดาวัชระ
“วัชไม่อยู่อีกแล้วเหรอคะ แล้วเค้าได้บอกคุณแม่เรื่องการ์ดแต่งงานที่แหนมเอาไปให้หรือเปล่าคะ ... ไม่ได้บอก”
เนตรนภัสอารมณ์เสียทันที
สีรุ้งกับนรีวรรณอยู่ในชุดเตรียมไปงาน สองคนเดินมาถึงหน้าห้องรับแขก เสียงเนตรนภัสโวยวายดังออกมา
“แล้วทำไมวัชถึงไม่บอกอะไรไว้เลย แหนมรออยู่นะคะ โรงพิมพ์เค้าก็รออยู่ ทุกคนเค้ารออยู่ วัชรู้บ้างหรือเปล่า”
สีรุ้งส่ายหน้า ส่วนนรีวรรณถอนใจเบื่อๆกับว่าที่บ่าวสาวคู่นี้
เนตรนภัสยังคงโวยวายอย่างต่อเนื่อง
“คุณแม่บอกให้วัชรีบติดต่อหาแหนมเร็วที่สุด ถ้าแหนมหมดความอดทน แหนมจะออกตามล่าหาวัชเอง”
เมื่อเนตรนภัสวางสายจากแววไปแล้ว สีรุ้งกับนรีวรรณก็เดินเข้ามาเข้าห้องรับแขก
“เรื่องนายวัชระนี่ยังไม่จบอีกเหรอแหนม”
“มันจะจบก็ต่อเมื่อ แหนมกับวัชแต่งงานกัน ถ้ายังไม่ได้แต่ง..ก็อย่าหวังว่ามันจะจบ”
สีรุ้งถอนใจ ด้วยความจนปัญญา นรีวรรณส่ายหน้าแล้วก็หันมาทางสีรุ้ง
“แม่คะ..เรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวไม่ทันดูคอนเสิร์ต ถึงเราพูดไปก็เปลืองน้ำลาย คนแถวนี้เค้าไม่ฟังเราหรอกค่ะ”
เนตรนภัสหันขวับและพูดประชดใส่ทันที
“รู้ก็ดี”
นรีวรรณส่ายหน้าเหนื่อยหน่าย แล้วก็จูงมือสีรุ้งไป
เนตรนภัสยังหมกหมุ่นอยู่กับเรื่องของวัชระอยู่ในห้องรับแขกของบ้านตัวเอง
“วัชนะวัช..หายหัวไปไหนของเค้าอีกเนี่ย๐
เนตรนภัสยิ่งคิดยิ่งแค้นในตัววัชระเป็นอย่างมาก

วัชระลองทาบเสื้อตัวโน้นทีตัวนี้ที เปลี่ยนกางเกงไปมายู่หน้ากระจกภายในห้องส่วนตัวที่บ้านลำเภา ซึ่งในที่สุดวัชระมาลงตัวในชุดที่ดูกึ่งลำลองกึ่งทางการ ดูเก๋แปลกตาไปจากมาดผู้กองสุดเซอร์ วันนี้เขามีนัดหมายเพื่อที่จะไปดูคอนเสิร์ตสุนทราภรณ์

ลำเภาวางอาหารไว้ให้เป็นต่อกับพอใจ พร้อมกับเรียก
“เป็นต่อ พอใจ รีบมากินเร็ว ก่อนจะโดน “คน” แย่ง มากิน เร็ว”
เป็นต่อกับพอใจวิ่งต้วมเตี้ยมอย่างหมาเล็กมาที่จานอาหารแล้วก็กินอย่างเอร็ดอร่อย วัชระแต่งตัวหล่อเดินออกมาจากห้องพอดี เป็นต่อกับพอใจหันขวับไป พร้อมกับแยกเขี้ยวใส่ เพราะกลัววัชระแย่งกินข้าว
“วันนี้ฉันไม่แย่งหรอกน่า...กินไปตามสบาย” วัชระพูดอย่างรู้ทัน
ลำเภาเห็นมาดหล่อของวัชระจึงรู้สึกแปลกใจ
“จะหล่อไปไหนคะ”
“หล่อไปดูคอนเสิร์ต” วัชระยิ้ม
“คอนเสิร์ตอะไร”
วัชระพูดพลางชูบัตร
“สุนทราภรณ์”
ลำเภาทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ
“คุณวัชเนี่ยนะ ดูสุนทราภรณ์ ดูรู้เรื่องเหรอคะ”
“นี่...คอนเสิร์ตนะไม่ใช่สัมมนาวิชาการ จะได้ไม่รู้เรื่อง และอีกอย่าง...ผมน่ะแฟนพันธุ์แท้นะครับ ฟังมาตั้งแต่เด็ก”
ลำเภาพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ พลางสังเกตเห็นว่า บัตรคอนเสิร์ตที่วัชระชูในมือนั้นมีอยู่ 2 ใบ
“ไม่น่าเชื่อ…ทำไมมีบัตรสองใบ คุณวัชจะไปดูกับใคร”
วัชระสะดุดนิดๆ แล้วก็อมยิ้ม
“เพื่อนน่ะ ...ไปก่อนนะ กลัวรถติด” วัชระพูดตัดบท
วัชระรีบเดินไปโดยไม่ยอมบอกว่าไปดูกับใคร ลำเภาได้แต่มองตามด้วยความสงสัย
“ท่าทางมีพิรุธ…ไปดูกับใครกันแน่”
เป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์มือถือลำเภาดังขึ้น ลำเภาหยิบขึ้นมาดู
“นายหมาใหญ่!”

ธีธัชเดินคุยโทรศัพท์ด้วยอาการแอบร้อนใจ แต่พยายามไม่แสดงออกมา
“อยู่กับไอ้วัชหรือเปล่า” ธีธัชถามขึ้นอย่างมีฟอร์ม
“ฉันจะอยู่หรือไม่อยู่กับใคร นายจะอยากรู้ไปทำไม” ลำเภาตอบกวนๆ
“ที่ฉันถาม เพราะฉันมีเรื่องจะคุยกับมัน แต่..ติดต่อมันไม่ได้ โทร.เข้ามือถือไม่ติด ฉันก็เลย “จำใจ” ต้องโทร.หาเธอ” ธีธัชว่า แต่ลำเภาเบ้ปากไม่อยากจะเชื่อ
ธีธัชรีบเข้าเรื่องทันที
“เห็นมันบอกว่าจะไปดูคอนเสิร์ตสุนทราภรณ์กับเธอ ตอนนี้ออกจากบ้านกันมาหรือยัง”
ลำเภาตอบกลับเสียงนิ่งๆ
“โธ่..ที่แท้ก็อยากรู้ว่าฉันจะไปดูคอนเสิร์ตกับคุณวัชหรือเปล่า แล้วมาทำเป็นฟอร์มโทร.ไม่ติด อ่อนอ่ะ”
ธีธัชชักสีหน้ารีบแก้ตัวทันที
“ใคร...ใครฟอร์ม คิดเข้าข้างตัวเองมากไปแล้ว ยัยหนูตะเภา เธอจะไปหรือไม่ไปฉันไม่เห็นจะอยากรู้เลย” ธีธัชเริ่มอาการหงุดหงิด
ลำเภายิ้มพอใจ
“ยิ่งแก้ตัว ก็ยิ่งมัดตัวเอง... นี่ฉันจะบอกให้สบายใจ ฉันไม่ได้ไปดูคอนเสิร์ตกับคุณวัช เพราะเค้าไม่ได้ชวน ถึงเค้าชวน ฉันก็ไม่ไป”
ธีธัชฟังแล้วก็เผลอยิ้ม ลำเภาพูดดักคออย่างรู้ทัน
“กำลังยิ้มสบายใจอยู่อ่ะดิ”
ธีธัชสะดุ้ง ไม่คิดว่า ลำเภาจะเป็นนกรู้จึง รีบทำเก๊กเสียงเข้มทันที
“ใครยิ้ม ฉันจะต้องยิ้มทำไม ฉันไม่เห็นจะ “แคร์” ตกลงว่าเธอไม่ได้อยู่กับไอ้วัชใช่มั้ย ฉันจะได้วางหู คุยกับเธอนี่มันไม่ได้เรื่องได้ราวจริงๆ เสียเวลา...แค่นี้นะ”
ธีธัชแกล้งทำเสียงหงุดหงิดใส่ลำเภาแล้ววางสายไป แล้วยิ้มอย่างสบายใจที่วัชระไม่ได้ไปดูคอนเสิร์ตกับลำเภา
ลำเภาวางสายตามธีธัชไปพร้อมกับอมยิ้มอย่างรู้ทัน
“โธ่เอ๊ย...ฟอร์มหมาใหญ่”
ฝ่ายธีธัชเมื่ออยู่คนเดียวก็เริ่มคิดสงสัยไปอีกว่า
“ถ้าไอ้วัชไม่ได้ไปกับเภา..แล้วมันไปกับใคร”

เวลาเย็นหลังเลิกงานกริชชัยและธีธัชยืนคุยกันอยู่ในคอนโด กริชชัยกำลังร่างภาพตอนนั่งกินก๋วยเตี๋ยวกับอรุณศรี กริชชัยตอบธีธัชอย่างมั่นใจ
“ไม่ใช่ฉัน!! และฉันก็ไม่รู้ว่ามันไปกับใคร”
“นั่นสิ…มันไปกับใครวะ .. ยัยแหนมไม่ใช่แน่ๆ แม่ก็ไม่ใช่ เภาก็ไม่ใช่… แกกับฉันก็ไม่ใช่ แล้วมันไปกับใครวะ”
ธีธัชคิดนิ่ง..ด้วยความอยากรู้

เสียงเพลง “สุขกันเถอะเรา” ที่หน้างานคอนเสิร์ตสุนทราภรณ์กำลังคึกคัก วัชระยืนหล่ออยู่มุมหนึ่งส่งสายตามองหาสุพรรณิการ์ซึ่งนัดหมายไว้แล้ว เมื่อวัชระกวาดสายตาไปรอบๆ พลันสายตาก็พบกับสุพรรณิการ์ที่กำลังเดินมาด้วยชุดสวยเซ็กซี่ สุพรรณิการ์มองมายิ้มอย่างพอใจ
แล้วทันใดนั้น..สุพรรณิการ์ก็สะดุดพลั่ก !! ส้นสูงเธอพลิก หน้าแทบจะทิ่มล้มคะมำลงพื้น วัชระนึกขำ สุพรรณิการ์รีบลุกขึ้นอย่างเสียฟอร์ม แล้วก็รีบเดินก้มหน้าก้มตามาหาวัชระอย่างอาย

พอมาถึงที่วัชระยืนอยู่ สุพรรณิการ์ใช้กระเป๋าฟาดลงที่แขนวัชระทีหนึ่ง วัชระสะดุ้ง
“เอ้ย..คุณ มาตีผมทำไม”
“แล้วคุณขำอะไร แค่เดินสะดุดแค่นี้ ขำซะยังกะฉันเดินแก้ผ้ามางั้นแหละ”
วัชระขำต่ออีก
“ก็มันฮานี่...อุตส่าห์เดินมาซะอย่างสวย ไม่น่าเล้ย”
สุพรรณิการ์ยิ้มกริ่ม
“พูดแบบนี้ แสดงว่า...ยอมรับว่าฉันสวย”
“อือ..ก็สวยดีนะ”
“โอเค ฉันต้องการแค่นี้แหละ กลับบ้านแล้วนะ”
สุพรรณิการ์หันหลังจะกลับบ้านจริงๆ วัชระรีบร้องขึ้น
“อ้าว เฮ้ย ได้ไงคุณ แล้วคอนเสิร์ตล่ะ ไม่ดูเหรอ”
“ล้อเล่น” สุพรรณิการ์หันมาทำหน้ากวนยิ้มสดใส)
“ดูสิ ถ้าไม่ดู ฉันไม่มาให้เสียเวลาหรอก” สุพรรณิการ์พูดต่อ
“แล้วไป..งั้นเราเข้าไปเลยนะ คอนเสิร์ตจะเริ่มแล้ว” วัชระยิ้มโล่งอก
สุพรรณิการ์พยักหน้ายิ้มรับ ทั้งวัชระและสุพรรณิการ์เดินเข้าไปในคอนเสิร์ตอย่างมีความสุข

วัชระกับสุพรรณิการ์เดินเคียงคู่กันมา บรรดาผู้ใหญ่รุ่นลุง ป้า น้า อา หันมามองด้วยความชื่น
ชม สีรุ้งและนรีวรรณเดินมาทางด้านหลังวัชระและสุพรรณิการ์ นรีวรรณเห็นก่อนถึงกับช็อก
“คุ..คุณแม่คะ..ดูโน่น”
สีรุ้งหันไปตามที่นรีวรรณชี้
“นายวัชระกับ...ผู้หญิงอีกแล้วเหรอ ใช่คนที่อุ้มหมาหรือเปล่านุ้ย” สีรุ้งถาม
“ไม่ใช่ค่ะ ทั้งรูปร่าง หน้าตา การแต่งตัว ไม่ใช่ชัวร์ค่ะ นุ้ยจะไปฟ้องพี่แหนม” นรีวรรณพูดพลางเชิดหน้า
“นุ้ย...แม่ขอร้อง อย่าไปบอกพี่เค้าเลยนะ”
“แม่จะปิดพี่แหนมเหรอคะ”
“แค่นี้พี่เค้าก็เสียใจจะแย่อยู่แล้ว ถ้ารู้ว่านายวัชระมากับผู้หญิงคนใหม่อีก มีหวังบ้านแตกแน่ๆ
“แต่นุ้ยอยากให้บอก คุณแม่ไม่กล้า นุ้ยบอกเองก็ได้ พี่แหนมจะได้ตาสว่าง สักที”
“เฮ่อ...ตามใจ อยากจะบอกก็บอก ไปบอกตอนนี้เลยก็แล้วกัน แม่ไม่มีอารมณ์จะดูคอนเสิร์ตแล้ว เฮ่อ..เสียฤกษ์จริงๆ เจอหลังคอนเสิร์ตก็ไม่ได้ ไป กลับบ้าน”
สีรุ้งพูดจบก็สะบัดหน้าเดินหันหลังกลับไปเลย นรีวรรณยืนมองวัชระและสุพรรณิการ์ด้วยความหมั่นไส้
นรีวรรณดูมือถือตัวเองแล้วก็บ่น
“เสียดายไม่น่าแชทจนแบตหมดเลย อดถ่ายรูปไปให้พี่แหนมดูเลย”
นรีวรรณบ่นเสร็จแล้วก็รีบเดินตามสีรุ้งไป ส่วนวัชระและสุพรรณิการ์เดินหายเข้าไปในฮอลล์แสดงคอนเสิร์ตสุนทราภรณ์

บนเวทีการแสดงเริ่มต้นอย่างสนุกสนาน วัชระและสุพรรณิการ์นั่งดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงสุดแสนคลาสสิก สวยงามและระรื่นหูอย่างมีความสุข ร้องตามในบางเพลง
จนมาถึงบทเพลง “พรหมลิขิต” วัชระแอบมองมาทางสุพรรณิการ์ พอสุพรรณิการ์รู้สึกตัวและหันมาวัชระก็รีบหันหน้าหนี สุพรรณิการ์ชะงักก่อนอมยิ้ม
สุพรรณิการ์และวัชระรู้สึกแปลก แต่เป็นความรู้สึกดีๆ อีกบทหนึ่งที่เริ่มต้นระหว่างเขาและเธอ

เราสองคนต้องเป็นเนื้อคู่ จึงชื่นชูรักใครบูชา
นี่เพราะว่าบุญหนุนพา พรหมลิขิตขีดเส้นมา ชี้ชะตาให้มาร่วมกัน

นรีวรรณ ยืนฟ้องเนตรนภัสที่นั่งโกรธหน้าแดงก่ำอยู่กลางห้องรับแขก สีรุ้งนั่งอยู่อีกฝั่งด้วยความเป็นห่วง
“แน่ใจนะว่าไม่ผิดคน” เนตรนภัสถามย้ำ
“พี่วัชน่ะไม่ผิดแน่ แค่เห็นหนวดก็จำได้แล้ว แต่ผู้หญิงเนี่ยไม่รู้ว่าใคร” นรีวรรณว่า
“ไม่ใช่ยัยเด็กบ้า ที่ไปเดินอุ้มหมากันคราวก่อนเหรอ”
“ไม่ใช่ คนละคน คนละสไตล์เลย เออ...จะว่าไป นุ้ยก็ชักจะรู้สึกว่าพี่แหนมกับพี่วัช ไม่น่าจะแต่งงานกันเลยนะเนี่ย” นรีวรรณพูดไปเรื่อย
“นังนุ้ย แกพูดแบบนี้หมายความว่าไง” เนตรนภัสเริ่มปรี๊ด
“ก็ทั้งสองคนรสนิยมต่างกันสุดขั้ว พี่แหนมเกลียดหมา พี่วัชก็ดันไปเดินอุ้มหมากับผู้หญิงอื่น พี่แหนมฟังแต่เพลงฝรั่ง ไม่ฟังเพลงไทย ยิ่งเพลงเก่าๆ ยิ่งไม่อยู่ใกล้ พี่วัชก็ดันไปดูคอนเสิร์ตสุนทรภรณ์กับผู้หญิงอื่น..เฮ่อ..นุ้ยว่า..เลิกกันไปเหอะ” ถึงนรีวรรณจะแจกแจงอย่างมีเหตุผล แต่...
“อีเด็กบ้า หุบปากไปเลยนะ” เนตรนภัสโมโหสุดขีด
“ก็นุ้ยพูดความจริงนี่ แล้วจะบอกให้นะ ผู้หญิงที่เจอวันนี้ ทั้งสวย ทั้งหุ่นดี ดูจากเสื้อผ้าหน้าผมและกระเป๋าที่ถือ ดูท่าทางจะรวยพอตัว บางทีที่พี่วัชไม่อยากแต่งงานกับพี่แหนม ก็เพราะกำลังคบอยู่กับผู้หญิงคนนี้ก็ได้” นรีวรรณยังไม่ยอมหยุด
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ มันไม่จริง แกโกหกฉัน เพราะแกอิจฉาฉัน แกหาแฟนไม่ได้เลยไม่อยากให้ฉันแต่งงาน อยากให้ฉันขึ้นคานอยู่กับแกใช่มั้ย นังนุ้ย” กลายเป็นน้องสาวผิดออีก

สีรุ้งซึ่งนิ่งฟังเนตรนภัสกับนรีวรรณโต้เถียงกันไปมา จนทนฟังไม่ได้ ต้องรีบปราม
“แหนม...พอได้แล้วลูก น้องไม่ได้โกหกแม่เองก็เห็นกับตา นายวัชระเค้าไปกับคนอื่นจริงๆ”
“แม่ไม่เห็นด้วยที่แหนมจะเกรี้ยวกราดใส่นุ้ย..น้องพูดด้วยความหวังดี แม่ว่า…สิ่งที่แหนมควรทำคือ รับรู้ความจริง และพยายามทำใจยอมรับมันให้ได้ ผู้ชายถ้าเค้าไปจากเราแล้ว ไม่ใช่ว่าจะกลับมาง่ายๆ ถ้าเค้าหมดใจก็ปล่อยเค้าไปเถอะลูก”
นรีวรรณพยักหน้าเห็นด้วยกับสีรุ้ง
“ไม่ได้ค่ะแม่ แหนมไม่ยอมแพ้นังผู้หญิงคนนั้น ไม่ว่ามันเป็นใคร มันจะมาแย่งวัชไปจากแหนมไม่ได้” เนตรนภัสดึงดันที่จะไม่ยอม
สีรุ้งถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจที่โอ้โลมปฏิโลมเท่าไหร่เนตรนภัสก็ยังดึงดันที่จะแต่งงานกับวัชระให้ได้ นรีวรรณเบือนหน้าหนี..ด้วยความเอือมพี่สาว

เนตรนภัสเชิดหน้าอย่างไม่ยอมแพ้ แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเกลียด เคียดแค้น และชิงชัง

อ่านสามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 17/2
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์