รถยนต์ของปรานต์ขับเข้ามาจอดเทียบที่หน้าบริษัท M Group อรุณศรีเปิดประตูเดินลงจากมา ด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ ปรานต์เปิดประตูด้านคนขับ รีบเดินตามอรุณศรีและดึงแขนรั้งไว้
“แอ๊ว..ไม่ตอบใช่มั้ย ว่าไอ้คนที่มาส่งมันเป็นใคร”
อรุณศรีเชิดหน้า ทำหน้าดุ พยายามบิดแขนออกจากมือปรานต์
“ปล่อยนะปรานต์ อย่ามาใช้กำลังกับแอ๊วที่นี่” อรุณศรีพูดเบาๆ แต่หนักแน่น
“ทำไม กลัวใครเห็นหรือไง” ปรานต์ถาม
“ไม่ได้กลัว แต่มันไม่สมควร ถ้าไม่ปล่อย ก็ไม่ต้องมาเจอหน้ากันอีก”
อรุณศรีไม่พอใจอย่างแรงทำหน้าดุจริงจัง ปรานต์เห็นอรุณศรีเอาจริงจึงตัดสินใจปล่อยมือ
กริชชัยเห็นอรุณศรีกับปรานต์ยืนอยู่ที่หน้าตึกออฟฟิศ M Group กริชชัยหยุดมองด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก
เมื่อปรานต์เห็นว่าอรุณศรีเอาจริงก็ค่อยๆ อ่อนลงตามลำดับ
“รู้แล้ว ที่แอ๊วไม่บอกเพราะไอ้คนนั้น มันไม่มีจริงใช่มั้ย พี่โอบแกล้งพูดให้ปรานต์หึงใช่หรือเปล่า”
อรุณศรีนิ่งเฉย ไม่ตอบ
“ว่าแล้ว..เพราะบนโลกนี้ ไม่มีใครกล้าจีบแอ๊วหรอก” ปรานต์เออออเข้าใจไปเอง
“ทำไม” อรุณศรีถามฉุนๆ
“ก็เค้ารู้ว่าแอ๊วเป็นแฟนปรานต์ไง” พูดจบปรานต์พุ่งมาหอมแก้มโชว์ดังฟอด!
อรุณศรีทั้งตกใจ โกรธปนอายไม่คิดว่าปรานต์จะทำแบบนี้ในสถานที่สาธารณะ
“ปรานต์!” อรุณศรีทำท่าจะพูดต่อ
“ถ้ามีใครกล้ามาจีบก็ให้มันรู้ไป” ปรานต์สวนทันที
ปรานต์ยิ้มกวนๆ แล้วก็เดินขึ้นรถไปด้วยความมั่นใจ อรุณศรีมองไปรอบๆ บริษัท แอบอายนิดๆ แล้วก็มองปรานต์ด้วยความไม่พอใจ
กริชชัยนั่งนิ่ง อึ้งอยู่ในรถด้วยหัวใจอันเจ็บช้ำ ที่ได้เห็นภาพบาดตานั้นพอดี
อรุณศรีเดินอยู่ในที่ทำงานแล้ว หน้าตายังบึ้งตึง อารมณ์ขุ่นๆ ในวันนี้ กริชชัยเดินไล่ตามอรุณศรีมาจนทันแล้วทักทาย
“ดีกันแล้วเหรอ” กริชชัยและอรุณศรีเดินกันไปและคุยกันไป
“คะ” อรุณศรีทำหน้างงๆ เล็กน้อย
“ก็ แฟนคุณ เมื่อวานยังเห็นอารมณ์ไม่ดีที่เค้ามารับช้า เสียดายเมื่อกี้เห็นหน้าไม่ชัด”
อรุณศรีขมวดคิ้วหยุดเดินกระทันหัน
“คุณแอบดูฉันอีกแล้วเหรอ”
“ผมไม่ได้ตั้งใจ” กริชชัยบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
กริชชัยหรี่เสียงลง พูดด้วยความเป็นห่วง
“เห็นโดยบังเอิญ รู้ว่ารักกัน แต่จะทำอะไรก็อย่าประเจิดประเจ้อนัก โดยเฉพาะในที่สาธารณะ คนอื่นเค้าจะมองไม่ดี”
อรุณศรีอึ้ง ไม่ได้สัมผัสถึงความหวังดีของกริชชัยแม้สักน้อย แต่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนด่ามากกว่า
กริชชัยพูดจบก็เดินแบกหน้าขรึมๆ จากไป อรุณศรีมองตามแล้วก็ขมวดคิ้ว อดคิดไม่ได้ว่า กริชชัยมาด่าเธอทำไม?
เที่ยงวันเดียวกัน สุพรรณิการ์และอรุณศรีนั่งรับประทานอาหารกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งขนาดไม่ใหญ่ ในร้านเต็มไปด้วยหนุ่มสาว
“สมควรแล้วที่โดนด่า” สุพรรณิการ์เห็นด้วยอย่างแรง
“อ้าว”
ขณะที่สุพรรณิการ์คุยกับอรุณศรีไป มือก็กดโทรศัพท์โทร.ออก ที่ข้อมือของสุพรรณิการ์ยังมีผ้าพันรักษาอาการซ้น
“ก็จริงนี่ ไอ้ปรานต์มันหมาหวงก้าง มันทำเพราะกั๊กแก โดนเจ้านายด่าก็สมควร” สุพรรณิการ์ยังคงโทร.ออกต่อไป แต่ไม่สำเร็จ
“แต่ฉันรู้สึกเหมือนโดนจ้องจับผิด เจ้านายฉันเนี่ยจิกฉันตลอดเลย เหมือนทุกอย่างที่ฉันทำมันอยู่ในสายตาเค้า ฝ้าย! แกว่า อย่างปรานต์เนี่ย จะโดนใจชาวเรนโบว์หรือเปล่า”
“อะไรของแก โดนใจชาวเรนโบว์”
“ก็ ชาวเกย์น่ะ คือ เจ้านายฉันคนนี้ เค้าเป็น “เกย์” ฉันกลัวว่าเค้าจะปิ๊งปรานต์อ่ะดิ”
สุพรรณิการ์วางมือจากมือถือแล้วก็หันขวับมาจริงใจ
“วุ้ย อย่างไอ้ปรานต์น่ะ ถ้ามีคนอยากได้ แกรีบใส่พานถวายไปเลย จะหวงทำไม”
อรุณศรีส่ายหน้า สุพรรณิการ์ยังพยายามโทร. ออกอย่างไม่ลดละ จนอรุณศรีแปลกใจ
“โทร.หาใครเนี่ย ฉันเห็นโทร.ตั้งนานแล้ว ยังโทร.ไม่ติดอีกเหรอ”
“ฉันโทร.หานายหน้าหนวดที่ขับรถชนก้นฉันน่ะสิ โทร.มาตั้งแต่เช้าแล้ว ปิดเครื่องหนีตลอดเลย” สุพรรณิการ์เริ่มหงุดหงิด
“เรื่องรถชนเนี่ย ยังไม่จบอีกเหรอ”
“ตราบใดที่นายหน้าหนวดยังไม่รับผิดชอบกับสิ่งที่ทำกับฉันไว้ มันไม่มีทางจบ ผู้ชายไร้ความรับผิดชอบ ถนัดแต่ “หนี” ชนแล้วหนี ปิดเครื่องหนี”
สุพรรณิการ์ประกาศก้องต่อหน้าอรุณศรี
‘เอาจริงเว้ย’ อรุณศรีมองหน้าเพื่อนแล้วอึ้ง
สุพรรณิการ์มองโทรศัพท์และพูดสียงจริงจัง
“คิดว่าหนีฉันได้ก็ลองดู”
พูดจบ สุพรรณิการ์กดโทร.ออกอีกครั้ง
โทรศัพท์ของวัชระปิดเครื่องวางนิ่งสนิทอยู่ในบ้าน ขณะที่เขากำลังกระโดดเชือกอย่างบ้าระห่ำอยู่บริเวณหน้าบ้าน สักพักจึงถอดเสื้อกล้ามออกแล้วก็เดินไปหยิบนวมขึ้นมาสวม และเดินไปที่กระสอบ วัชระชกกระสอบอย่างบ้าคลั่ง ราวกับต้องการระบายอารมณ์
แวว แม่ของวัชระโผล่หน้าจากในบ้านเห็นอาการของลูกชายแล้ว ได้แต่ถอนใจเบาๆ ด้วยความเป็นห่วง
วัชระไล่ชกกระสอบทรายจนเหนื่อยแล้วก็หยุดด้วยความเมื่อยล้า เอาตัวพิงกับเสาที่ห้อยกระสอบ เนื้อตัวของวัชระเต็มไปด้วยเหงื่อ ยืนหอบแฮ่กๆ
เสียงของแววดังขึ้น
“วัช กลุ้มเรื่องแต่งงานใช่มั้ยลูก”
วัชระชะงัก เห็นแววกำลังเดินออกมาจากบ้าน มานั่งอยู่ที่เก้าอี้นั่งเล่นที่วางอยู่ไม่ห่างออกไป บ้านวัชระมีขนาดกระทัดรัด อบอุ่นไปด้วยต้นไม้นานาชนิด บรรยากาศร่มรื่น น่ารัก
“แม่รู้ได้ยังไง” วัชระขมวดคิ้วถาม
“หนูแหนมโทร.บอกแม่หมดแล้ว รวมทั้งเรื่องสินสอดทองหมั้น”
“เค้าต้องการอะไรบ้าง” วัชระถามไป พลางถอดนวมไป
“เงิน 10ล้าน”
“หะ!” วัชระตาโตด้วยความตกใจ
“ทอง 50 บาท เครื่องเพชรชุดใหญ่ และโฉนดที่ดิน 1 ไร่ บนถนนเอกมัย สำหรับสร้างเรือนหอ” แววพูดต่อ
“แหนมบ้าแล้ว ผมจะไปหาที่ไหนมาให้”
“เค้าบอกว่าเราไม่ต้องหา เค้าให้แม่เตรียมไว้แล้ว”
“หะ” วัชระอึ้งและส่ายหน้าทรุดนั่งลงด้วยความเซ็ง
แววมองวัชระด้วยความเป็นห่วง
“วัชรู้อยู่แล้วว่าหนูแหนมเป็นคนยังไงตั้งแต่ตอนแรกที่รู้จักกัน แต่ลูกก็เลือกที่จะคบกับเค้า วันนี้ลูกก็ต้องยอมรับในความเป็นเค้าให้ได้นะลูก”
“ผมรู้ว่าเค้าเป็นคนยังไง แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นมากขนาดนี้ ตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าผมรู้จักแหนมจริงๆหรือเปล่า”
วัชระตอบเสียงเหนื่อย แววมองวัชระด้วยความเป็นห่วง
ทันใดนั้นก็มีเสียงรถมาจอดเทียบที่หน้าบ้าน พร้อมกับเสียงบีบแตร
“แหนม” วัชระผวา
วัชระรีบวิ่งพรวดพราดเข้าไปหลบในห้องเก็บของทันที แววมองตามงงๆ
“วัชทำอะไร”
“ถ้าแหนมมาบอกว่าผมไม่อยู่นะแม่”
ที่หน้าบ้านของวัชระ ธีธัชก้าวลงจากรถพร้อมกับโวยวายหาวัชระ
“ไอ้วัช อยู่หรือเปล่า? วัช” ธีธัชโวยวายเสียงดังอยู่หน้าบ้าน
ธีธัชยกมือไหว้แวว เมื่อเห็นแววเดินออกมาจากตัวบ้าน เพื่อมาชะเง้อมองหน้าบ้าน
“แม่สวัสดีครับ”
“สวัสดีจ้ะ” แววรับไหว้
“วัชอยู่หรือเปล่าครับ”
“อยู่จ้ะ รอแป๊บนะ”
แววหันมาทางวัชระที่แอบอยู่หลังห้องเก็บของ
“วัช ธีมาหาน่ะลูก”
วัชระค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากห้องเก็บของ ตามตัวมีหยากไย่ มีฝุ่นติดอยู่ แววตาไม่มีความกังวล มีแต่ความโล่งอก
วัชระเดินออกไปหน้าบ้าน ธีธัชยังไม่ทันจะเห็นหน้าวัชระก็โวยวายดังลั่น
“ไอ้วัช แกปิดมือถือทำไมวะ ฉันโทร.ตั้งแต่เช้าก็ไม่ติด”
วัชระเดินไปพูดไป ด้วยน้ำหนักเสียงไม่ดังนัก
“ไม่ต้องบ่นได้มั้ย ฉันขี้เกียจฟัง แล้วแกมาหาฉันมีอะไร”
แววมองเห็นหยากไย่ มีฝุ่นเกาะตามตัววัชระแล้วส่ายหน้าด้วยความหนักใจ
“จะรอดมั้ยเนี่ยลูกฉัน” แววบ่นอุบ
ธีธัชมาขอให้วัชระไปปราบลำเภา เพื่อแก้แค้นที่โดนตีหัว ทั้งคู่เดินทางมาทำหลบเก้ๆ กังๆ อยู่ที่หน้าบ้านลำเภา วัชระอยู่ในชุดตำรวจเต็มยศดูขึงขัง
“ถ้ายัยเด็กหนูตะเภาเห็นแกใส่ชุดตำรวจเต็มยศแบบนี้ ซีดแน่ๆ”
“แล้วแกเป็นบ้าอะไร ทำไมต้องให้ฉันมาแกล้งน้องไอ้กริชมันด้วย”
“ก็ฉันไม่ยอมให้ยายหนูตะเภาได้ใจ ตีหัวฉันแล้วก็ยังลอยนวล ฉันลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะแจ้งความ ก็ต้องทำตามที่พูด”
วัชระส่ายหน้า
“ทำไมฉันต้องมาทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ด้วยเนี่ย”
“เอาน่า ถือว่าช่วยเพื่อน เอางี้..แกไม่ต้องพูดอะไรมาก เดี๋ยวฉันเป็นคนจัดการเอง งานนี้มีเฮ”
วัชระอึกๆอักๆ จะห้าม แต่ธีธัชไม่สนใจ หันไปกดออดอย่างมั่นใจ
เสียงออดดังเข้ามาในบ้าน ซ้อนกับเสียงเครื่องเป่าผมที่ลำเภากำลังเป่าหูให้น้องหมาสามตัวที่นั่งหลับตาพริ้มหลังจากเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ลำเภาชะงักมือนิดๆ เสียงออดดังอีก
“อยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวหม่ามี๊มาเป่าหูต่อ”
ลำเภาลุกไปส่องดูหน้าบ้าน แล้วก็ชะงัก จนต้องเพ่งดูอีกรอบ
“นายธีธัช” ลำเภาหยีตาเพ่งอีกรอบ
“ตำรวจ”
ลำเภาอดแปลกใจไม่ได้
ที่หน้าบ้าน วัชระในชุดตำรวจซึ่งหน้าตาไม่ค่อยเต็มใจที่จะรับงานนี้นัก แต่ธีธัชตรงกันข้ามยืนยิ้มกวนอย่างมั่นใจ ลำเภาเดินออกมาพลางคิดว่า ธีธัชจะมาไม้ไหนกันแน่
“ไง กลัวหรือไง กดตั้งนานไม่ออกมาสักที มายอมรับผิดซะดีๆ ยัยหนูตะเภา”
“ลำเภาย่ะ นี่นายหมาใหญ่ใจเสาะ”
ธีธัชรีบสวนทันที
“ฉันชื่อ ธีธัช เรียกฉันเป็นหมาได้ยังไง นี่มันหมิ่นประมาทชัดๆ คุณตำรวจจัดการเลยครับ”
“ก็เมื่อกี๊นายยังเรียกฉันว่า “หนูตะเภา” ได้เลย ทำไมฉันจะเรียกนายเป็น “หมา” ไม่ได้ หนูกับหมาไม่ได้อยู่ในมาตรฐานเดียวกันหรือไง”
“ย้อน ย้อน จะโดนจับเข้าคุกแล้วยังจะมาย้อนอีกเหรอ”
วัชระรีบห้าม
“เอาละครับ ผมว่าเราเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ ก่อนที่จะไร้สาระ เอ่อ บานปลายมากไปกว่านี้”
ลำเภาหันมาทางวัชระ
“คุณตำรวจคะ เค้าแจ้งความว่ายังไงคะ”
“เค้าบอกว่าถูกทำร้ายร่างกาย” วัชระอึกอักนิดๆก่อนตอบ
“ใช่ โดนเต็มๆ หัวแตก เลือดอาบ และเธอจะต้องรับผิดชอบ ติดคุกหัวโตแน่ๆ” ธีธัชเชิดหน้าใส่
ลำเภามองหน้าธีธัช แล้วหมั่นไส้ หันกลับมาสวนใส่วัชระเป็นชุดอย่างยาว
“แล้วเค้าไม่ได้บอกเหรอคะว่าเค้าบุกรุกเข้ามาในบ้านฉัน ทำตัวเหมือนขโมยมุดรั้วเข้ามาในบ้าน โดยไม่ได้รับอนุญาต จะให้ฉันไปโรงพักเพื่อแจ้งความ ลงบันทึกประจำวันไว้หรือเปล่าล่ะ? ได้นะ ฉันมีกล้องวงจรปิด บันทึกภาพไว้ครบถ้วน”
ธีธัชเริ่มชะงัก วัชระเลิ่กลั่กนิดๆ
อ่านสามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 4
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์