หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อ่านสามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 9

อ่านสามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 9
โอบบุญกำลังคลุกเคล้าสลัดอยู่ด้วยความชำนาญ ในชามสวยตรงหน้าเขาเวลานี้มีผักสีสดใส่อยู่ พร้อมกับน้ำสลัด และเครื่องสลัดแนวเมดิเตอเรเนียน เมื่ออรุณศรีกลับถึงบ้านและอาบน้ำเปลี่ยนชุดสบายๆ ออกมาร่วมอยู่บนโต๊ะอาหาร พี่ชายยอดเชฟอวดเมนูใหม่อย่างภาคภูมิใจ

“น้ำสลัดสูตรใหม่ พี่คั้นน้ำดอกอัญชัญใส่ลงไปด้วย สีจะออกฟ้าอ่อนๆ พอบีบมะนาวลงไปก็จะเปลี่ยนเป็นสีม่วง รสออกเปรี้ยวนิดๆ ไม่เลี่ยน” โอบบุญบอกอรุณศรี พร้อมกับตักใส่จานแบ่งให้
“อะ..ชิม”

“ก็อร่อยดีนะพี่โอบ แอ๊วว่ากินกับเนื้อกุ้ง มันก็เข้ากันดี”
โอบบุญยิ้มพอใจ พร้อมกับทุบโต๊ะ
“เยี่ยม!! งั้นพี่จะทำสูตรนี้ใส่ขวดขายเป็นอันแรก ว่าจะให้ชื่อ น้ำสลัดโอบบุญ .. เท่ปะ”
อรุณศรีพยักหน้ารับพลางกินต่อ โอบบุญพูดต่อ พร้อมกับเก็บครัวไปด้วย
“พี่จะลองไปวางขายตามร้านอาหารเพื่อนๆ ร้านฝ้ายด้วยนะ เผื่อว่าจะขายดีมีเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำ วันดีคืนดีเจอสาวถูกใจ จะได้มีเงินไปขอ”
โอบบุญพูดขำๆ แต่คำพูดโอบบุญกลับไปจี้ใจดำอรุณศรีและเงยหน้าถาม
“พี่โอบ.. ตอนพี่มีแฟน เคยยืมเงินแฟนหรือเปล่า”
โอบบุญมองหน้าอรุณศรี รู้สึกสังหรณ์ใจนิดๆ หรือว่า...
“ไม่เคย”
“แล้วคิดจะยืมมั้ย”
“คงไม่ กระดากปาก พูดไม่ออก ถ้ามีปัญหาจริงๆยืมเพื่อนดีกว่า”
“แล้วถ้าแฟนมาขอยืมจะให้หรือเปล่า”
“ก็ต้องถามว่าจะเอาไปทำอะไร ถ้าสำคัญมากและเราไม่เดือดร้อนก็อาจจะให้ แต่ถ้ามันไม่ได้สำคัญมาก และเราก็ไม่ได้มีเงินมาก ก็ไม่ให้”
อรุณศรีคิด โอบบุญมองและถามขึ้นอย่างรู้ทัน
“ไอ้ปรานต์มันยืมเงินแกเท่าไหร่”
“สี่แสน”
โอบบุญตาโต
“แล้วมีเหรอ”
“มีไม่ถึง แต่เค้าบอก มีเท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น”
โอบบุญส่ายหน้า แล้วถามอีกที
“แล้วจะให้หรือเปล่าเนี่ย”
“แอ๊วไม่อยากเป็นคนใจดำ ตอนแอ๊วลำบากปรานต์เค้าก็ช่วย ตอนนี้พอเค้าลำบาก แอ๊ว ไม่อยากทิ้งเค้า”
“คนว่ายน้ำไม่แข็ง เค้าไม่ให้ลงไปช่วยคนจมน้ำหรอกนะ เพราะมันจะตายด้วยกันทั้งคู่ สิ่งที่ทำได้คือตะโกนเรียกคนอื่นมาช่วย หรือไม่ก็วิ่งหาห่วงยางแล้วโยนลงไปให้ จะช่วยใครก็ดูตัวเองด้วย”
อรุณศรีนิ่งเงียบถึงกับพูดไม่ออก
“และถ้าแกไม่ให้เงินมันยืม แล้วมันโกรธจนขอเลิก ก็ลองคิดดูแล้วกันว่าคนแบบนี้สมควรจะคบต่อไปหรือเปล่า”
โอบบุญพูดดักคออรุณศรี เพราะคิดว่าเดานิสัยของปรานต์ไม่ผิด อรุณศรีคิด..เหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้บ้างแล้ว

เช้าวันต่อมา เนตรนภัสหน้าบอกบุญไม่รับตั้งแต่เช้า
“ไม่มีทาง! แหนมไม่มีวันยกเลิกงานแต่งงานเด็ดขาด”
นรีวรรณกับสีรุ้งนั่งอยู่ตรงฝั่งตรงข้ามเห็นเนตรนภัสยืนเกรี้ยวกราดอยู่ตรงหน้า นรีวรรณส่ายหน้าแล้วก็ก้มหน้ากดบีบีต่อ ด้วยความเอือมพี่สาว
“แต่วัชเค้าหายตัวไปแบบนี้ แหนมจะทำยังไง” สีรุ้งถาม
“แหนมก็ต้องตามหาวัชให้เจอ ตอนนี้แหนมบอกเพื่อนเค้าทุกคน ลูกน้องยันเจ้านาย ถ้าใครเจอวัชจะต้องรีบติดต่อมาหาแหนมทันที”
นรีวรรณเงยหน้า โพล่งออกมา
“พี่แหนมไม่คิดว่าพี่วัชเค้ามีคนอื่นบ้างเหรอ”
เนตรนภัสได้ยินดังนั้น อารมณ์ความร้อนทวีสูงขึ้นในระดับปรอทที่พร้อมจะแตก
“เป็นไปไม่ได้!!! คนอย่างวัชไม่มีทางมีคนอื่น ลองมีดูสิ จะตามล้างตามล่าฆ่าทิ้งทั้งสองคนนั่นแหละ”
สีรุ้งสะดุ้งเฮือก
“แหนม..เบาๆหน่อยลูก อย่าให้มันโลดโผนนัก เราเป็นผู้หญิงนะ”
ผู้หญิง ไม่ได้แปลว่า “ต้องทน ต้องยอม” ทั้งๆที่เราโดนทำร้าย และโดนเอาเปรียบนะคะแม่ เรื่องนี้ไม่ว่ายังไงวัชก็ผิด แหนมจะไม่อยู่เฉยๆ รอให้วัชโผล่ออกมาหรอกค่ะ แหนมจะต้องตามล่าให้ถึงที่สุด”
“แสดงว่า...เราจะไม่หยุดจนกว่าจะเจอใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ”
เนตรนภัสน้ำเสียงจริงจัง สีรุ้งฟังแล้วก็นิ่งคิด

โทรศัพท์บ้านวัชระดังขึ้น แววเดินมารับ
“สวัสดีค่ะ” เมื่อแววได้ยินเสียงจากปลายสายก็รู้ในทันที
“คุณสีรุ้ง”
“ใช่ ฉันเอง คุณคงจะทราบว่าฉันโทร.มาด้วยเรื่องอะไร” สีรุ้งพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง ถือตัว แววกระอักกระอ่วนใจ กลืนน้ำลายด้วยความลำบากใจ
คืนนั้น แววเล่าให้วัชระฟังว่า สีรุ้งโทร.มาที่บ้าน วัชระแปลกใจ
“แม่แหนมโทร.มาหา”
“ใช่ ทำไมวัชยังไม่ไปหาหนูแหนม”
วัชระไม่ตอบ แววถามลูกชายต่อ
“ตกลงเราไม่อยากจะแต่งกับเค้าใช่มั้ย”
“ผม...ยังไม่พร้อม ไม่พร้อมเลยจริงๆ แหนมดันทุรัง อธิบายก็ไม่ฟัง”
“เห็นแล้วก็สมน้ำหน้า เมื่อก่อนวิ่งตามไล่ล่าเค้า โอดครวญจะเป็นจะตาย พอได้เค้ามาแล้ว ตอนนี้เป็นฝ่ายโดนล่าบ้าง วิ่งหนีหางจุกตูด”
“โหยแม่...ซ้ำเติมลูกนะเนี่ย ไม่สงสารผมบ้างเหรอ”
“ไม่สงสาร และตอนนี้ก็เริ่มจะรำคาญขึ้นมาหน่อยๆแล้ว ตอนแรกก็หนูแหนมมาโวยวาย ตอนนี้ก็แม่เค้าโทร.มาตีโพยตีพายว่าลูกสาวกำลังจิตแตก ถ้าเราไม่รีบปรากฏตัว เค้าจะไปแจ้งความคนหาย”
“เค้าพูดแบบนั้นจริงเหรอแม่”
“จริง และแม่คิดว่าเค้าก็กล้าทำจริงๆ ด้วย”
วัชระเดินเข้ามานั่งข้างๆแวว ด้วยความรู้สึกผิด
“ผมขอโทษที่ทำให้แม่ต้องเดือดร้อนไปด้วย ไหนๆ แหนมเค้าอยากแต่ง ผมก็จะแต่งแล้วกัน แต่งไปก่อน ถ้าไม่รอดก็ค่อยเลิก”
“นี่! พูดให้มันเป็นมงคลหน่อยสิ มันก็ไม่แน่หรอก แต่งไปแล้วมันอาจจะดีก็ได้..เราน่ะแต่งงานแต่งการซะได้ก็ดี จะได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ได้รับผิดชอบชีวิตคนอื่นบ้าง ไม่ได้มีแต่เรื่องของตัวเอง”
วัชระฟังแล้วก็คิด
“รับผิดชอบชีวิตคนอื่น” วัชระพูดเบาๆ

เช้าวันต่อมา ที่หน้าบริษัท M Group กริชชัยในชุดพร้อมเดินทางยืนอยู่บนเวทีขนาดกระทัดรัด บริเวณนั้นมีลูกค้าระดับวีไอพีกว่า 10 คน และพนักงานอีกบางส่วน พร้อมกับรถที่จอดเตรียมสำหรับออกเดินทาง
“ผมในนามเอ็มกรุ๊ป ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมการเดินทางในครั้งนี้พวกเราทุกคนเตรียมงานกันอย่างเต็มที่ เพื่อทำให้การเดินทางในครั้งนี้มีความสะดวก ปลอดภัย และสร้างความประทับใจให้กับทุกท่าน” ลูกค้าแต่ละคนเตรียมพร้อมด้วยเสื้อผ้า หน้า ผม และอุปกรณ์ขับขี่พร้อมสรรพ
“ถ้าพร้อมแล้ว .. เรา..ไปกันเลยดีกว่าครับ”
หลังกริชชัยพูดสรุป เสียงเฮของผู้ร่วมทริปก็ดังขึ้น พร้อมๆ กับเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์

รถของกริชชัยเร่งเครื่อง ออกตัวนำไปเป็นลำดับแรก ตามมาด้วยขบวนรถของลูกค้าอีก10 กว่าคัน โดยมีรถทีมช่างนำ และรถพยาบาลตามปิดขบวน ชาวบ้านเดินอยู่ข้างถนนมองตามด้วยความสนใจ ขบวนรถทั้งหมดเริ่มห่างจากกรุงเทพฯออกไปทุกขณะ

เบญลี่และอรุณศรี พร้อมด้วยพนักงานที่รับผิดชอบในส่วนต้อนรับล่วงหน้ามาที่โรงแรมวังน้ำเขียวก่อนแล้ว เบญลี่คุยโทรศัพท์อยู่ที่ข้างโรงแรมในบริเวณจัดงาน
“โอเค รับทราบ ตามนั้น เจอกัน บาย”
หลังจากที่เบญลี่วางสายแล้วก็หันมาทางอรุณศรีที่อยู่ในชุดสตาฟท์ กำลังเตรียมจัดซุ้มต้อนรับอยู่อย่างขะมักเขม้น
“แอ๊ว คุณกริชและขบวนออกจากบริษัทมาแล้วนะ ส่วนครอบครัวของลูกค้าที่เดินทางมาเอง ก็เริ่มทยอยมาแล้ว อีกสักพักคงถึง”
“ค่ะ .. งั้นแอ๊วไปเชคเรื่องห้องพักอีกทีนะคะ”
อรุณศรีกำลังจะเดินไปจัดการเรื่องห้องพัก เบญลี่จับมืออรุณศรีไว้
“หยุดก่อน”
อรุณศรีหันมาทำหน้าแปลกใจ
“คุยเรื่องสำคัญกันก่อน”
อรุณศรีรอฟัง
“ตกลง แฟนแอ๊วมาหรือเปล่า” เบญลี่พูดต่อ
อรุณศรียิ้มตอบ
“ไม่ได้มาค่ะ”
“เลิศ… แอ๊วทำถูกแล้ว ผู้หญิงอย่างเรา อย่าสักแต่ว่าสวยอย่างเดียว ต้องช่างเลือกด้วย เราต้องแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง! โอเคนะ คืนนี้”
เบญลี่เสียงเข้มจริงจังมากกว่าครั้งใด อรุณศรีถึงกับขำเบาๆ
“ทำให้คุณกริชสารภาพรักออกมาให้ได้” เบญลี่พูดต่อจนจบ
“พี่เบญลี่น่ะ คิดไปเอง คุณกริชเค้าไม่ได้ชอบแอ๊ว มันไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ ส่วนที่แฟนแอ๊วไม่มา เพราะเค้าติดงาน ไม่ใช่ว่าแอ๊วไม่อยากให้เค้ามา ถ้าปรานต์ไม่มีนัดลูกค้า เค้าก็ต้องมาอยู่แล้วค่ะ”
“โธ่” เบญลี่อุทานแล้วปล่อยมืออรุณศรีด้วยความเซ็ง
“ไอ้เราก็นึกว่าจะสวยเผื่อเลือก เฮ่อ ยุไม่ขึ้น เซ็งเลย แต่แฟนแอ๊วก็แปลกนะ เห็นลูกค้าดีกว่าแฟนตัวเอง แสดงว่า...ลูกค้าคนนี้จะต้องสำคัญมากๆ ผู้หญิง หรือผู้ชาย”
เบญลี่อยากรู้ทุกเรื่องที่เป็นความลับไม่เคยเปลี่ยนแปลง ลูกค้าหญิงหรือชาย อรุณศรีเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

หน้าร้านเครื่องเสียงของปรานต์ รถสปอร์ตราคาแพงของเกียวแล่นปราดเข้ามาจอด ปรานต์หันไปมองอย่างถูกใจ เกียวลดกระจกลง ส่งยิ้มให้ตามประสาคนคุ้นเคย ปรานต์ยิ้มตอบ และเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งทันที
“พี่จะพาไปดูรถตู้ที่ระยองนะ หิวหรือเปล่า จะกินอะไรก่อนมั้ย หรือว่าจะไปกินทะเลที่ระยอง”
“แล้วแต่พี่เลยครับ ผมยังไงก็ได้ ง่ายๆอยู่แล้ว”
เกียวยิ้มถูกใจ
“แหม ดีจัง ง่ายๆ ไม่เรื่องมากแบบนี้ พี่ชอบ”
เกียวยิ้มให้อย่างมีนัยยะ ปรานต์ยิ้มรับรู้ทัน ความสัมพันธ์พัฒนาผ่านทางสายตาอย่างรวดเร็วและร้อนแรง รถของเกียวแล่นทะยานออกจากกรุงเทพฯ ไปอย่างรวดเร็ว

ภาพรถของวัชระที่แสนจะเก่า โทรม แล่นเข้ามาจอดเทียบในคฤหาสถ์ของเนตรนภัส นรีวรรณวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในบ้าน
“แม่คะแม่..แม่ พี่แหนม..พี่แหนม เกิดเรื่องแล้ว”
สีรุ้งกับเนตรนภัสเดินออกมาจากห้องของตัวเองด้วยความแปลกใจ
“นุ้ยมีอะไร ร้องซะตกอกตกใจหมด” สีรุ้งถาม
“นั่นสิ ใครตายไม่ทราบ” เนตรนภัสถามประชด
“ตอนนี้ยังไม่มี แต่อีกไม่กี่นาทีก็ไม่แน่ พี่แหนมอาจจะได้ฆ่าใครสักคน” นรีวรรณย้อน
“ใคร” เนตรนภัสสวนทันควัน
เนตรนภัสถามด้วยความสงสัยอย่างแรง วัชระก้าวเข้ามานั่งที่ห้องรับแขก ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นกับวัชระ เขาทั้งอึดอัด และแปลกแยก เสียงเนตรนภัสก็ดังกรีดอากาศออกมา
“วัช! หายหัวไปไหนมา”
ประโยคแรกของเนตรนภัสทำให้วัชระหมดอารมณ์ที่จะคุย เนตรนภัสเดินพรวดเข้ามาในห้องรับแขก อย่างรวดเร็วจนนรีวรรณกับสีรุ้งตามแทบไม่ทัน
“แหนม...ค่อยๆพูดกันสิลูก ใจเย็นๆ” สีรุ้งปราม
“ถ้าคุณแม่ไม่โทร.ไปหาแม่คุณ วัชจะยอมโผล่ออกมาหรือเปล่า”
วัชระนิ่งเงียบ ไม่มีคำตอบ เนตรนภัสโกรธจัด ทนไม่ได้ พุ่งเข้ามาทุบตัววัชระระบายอารมณ์
“แหนม” / “พี่แหนม” สีรุ้ง นรีวรรณตกใจพอกัน
วัชระตกใจ เจ็บเนื้อตัว
“โอ้ยแหนม!! มาตีผมทำไม”
“แค่นี้ยังน้อยไป มันต้องโดนมากกว่านี้”
เนตรนภัสยังคงทุบต่อ
“เฮ้ย โอ้ย โอ้ย แหนม ผมเจ็บนะ” วัชระร้อง
“เจ็บก็ดี ที่ตีก็เพราะจะให้เจ็บ วัชทำแบบนี้กับแหนมได้ยังไง วัชเห็นแหนมเป็นอะไร”
เนตรนภัสเริ่มร้องไห้
“ตกลงจะแต่งงานกันแล้วก็หายหัวไปแบบนี้ วัชยังมีความเป็นคนอยู่หรือเปล่า มีหัวใจบ้างหรือเปล่า เคยคิดมั้ยว่าแหนมจะรู้สึกยังไง เคยคิดบ้างมั้ย”
เนตรนภัสพูดพลางสะอึกสะอื้น น้ำตาไหลพราก..ทั้งเสียใจ อึดอัด ทั้งผิดหวัง
สีรุ้งเบือนหน้าไปมองทางอื่นด้วยความกลุ้มใจ นรีวรรณเกาะแขนสีรุ้งยืนมองด้วยความเห็นใจพี่สาว
วัชระเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารเนตรนภัส และรู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ
“แหนม” วัชระจับมือเนตรนภัส
เนตรนภัสสะบัดมือ แล้วก็ตวาดกลับ
“มีอะไร”
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“จะคุยอะไรก็คุยมา แหนมรอฟังอยู่”
วัชระไม่พูด แต่แอบๆ มองมาที่สีรุ้งและนรีวรรณ ทำนองว่าอยากจะคุยกันส่วนตัว สีรุ้งและนรีวรรณ หันมามองหน้ากันแล้วจูงมือกันออกไปนอกห้อง

นรีวรรณพูดเคืองๆ ที่วัชระไม่อยากให้อยู่ฟังด้วย
“ทำไมเราสองคนถึงอยู่ฟังด้วยไม่ได้คะแม่”
“ก็เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเราไงลูก ให้เค้าคุยกันสองคนก็ดีแล้ว จะได้จบๆ”
แม้ว่าสีรุ้งอยากจะให้ทุกอย่างจบ แต่นรีวรรณกลับมีลางสังหรณ์และไม่ค่อยมั่นใจว่าจะจบ

ภายในห้องรับแขก เนตรนภัสยังแสดงอารมณ์วีน เหวี่ยงใส่วัชระเหมือนเคย
“แค่ขอโทษแล้วจะให้จบ... มันไม่ง่ายไปเหรอ”
“แล้วแหนมจะให้ผมทำยังไง”
“แหนมไม่เข้าใจทำไมวัชถึงต้องหายไป มีอะไรก็พูดกันตรงๆ”
“ถ้าผมพูด แหนมจะฟังเหรอ”
“ก็พูดมาสิ ถ้ามันมีเหตุผลพอ แหนมจะฟัง”
วัชระมองหน้าเนตรนภัสด้วยแววตาครุ่นคิดก่อนที่จะตัดสินใจพูด
“ผมไม่ชอบให้แหนมบังคับ”
วัชระยังพูดไม่ทันจบ เนตรนภัสสวนแทรกขึ้นมาทันที
“ถ้าแหนมไม่บังคับ วัชจะทำอะไรเป็น ขนาดบังคับยังไม่ค่อยทำเลย”
“นี่ไง แหนมไม่เคยฟัง ผมยังพูดไม่จบเลยสวนขึ้นมาแบบนี้ ตกลงจะให้ผมพูดหรือเปล่า”
“ก็พูดมาสิ กำลังฟังอยู่”
“ผมอึดอัดที่คุณมาบงการชีวิตผม ทั้งเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องการแต่งงาน มันทำให้เครียด และผมไม่มีความสุข ยิ่งคุณวุ่นวายกับชีวิตผมมากเท่าไหร่ ผมยิ่งไม่อยากอยู่ใกล้คุณ”
เนตรนภัสหันขวับมา แววตาแข็งกระด้าง แม้จะฟังแต่ไม่ยอมรับในสิ่งที่วัชระพูด
“แค่นี้ใช่มั้ย”
“ใช่”
“โอเค..ถ้าแค่นี้ ก็ไม่ต้องหนีไปไหนอีกนะ เพราะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย และแหนมก็ฟังตามที่คุณต้องการ เป็นอันเคลียร์ จบ”
“จบก็จบ”
“ดี! พรุ่งนี้มารับแหนมไปสตูดิโอถ่ายรูปด้วย เลื่อนเค้ามาหลายวันแล้ว พอได้รูปแล้วจะได้เอามาทำการ์ดแล้วก็ของชำร่วย แหนมไม่อยากช้าไปกว่านี้อีกแล้ว พรุ่งนี้..สิบเอ็ดโมงเจอกัน”
เนตรนภัสพูดจบก็เดินออกไปอย่างไม่สนใจ ปล่อยให้วัชระยืนงงอยู่กับที่
“ตกลงคุณฟัง แต่คุณไม่เข้าใจผมใช่มั้ยเนี่ย” วัชระพึมพำ
ทุกอย่างเหมือนเดิม และไม่มีอะไรดีขึ้น

ธีธัชนอนบิดตัวอยู่ในห้องที่คอนโด ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์มาเปิดดูแล้วก็ยิ้ม กรกนกใส่ชุดคลุมตัวออกจากห้องน้ำ ทันเห็นรอยยิ้มของธีธัชพอดี ก็แซวขึ้น
“เด็กส่งรูปมาให้เหรอ ยิ้มซะแก้มปริเลย”
“เด็กที่ไหนหล่ะ ไอ้กริช มันส่งรูปมาให้ มันพาลูกค้าไปออกทริป”
ธีธัชหันโทรศัพท์มาให้กรกนกดู เป็นรูปกริชชัยและลูกค้ากำลังพักกันอยู่ในร้านกาแฟเก๋ๆ มีข้อความพิมพ์มากับรูปว่า “เสียดายพวกท่านไม่ได้มา”
“แล้วทำไมไม่ไปกับคุณกริช” กรกนกถาม
“หน้าเพิ่งไปทำเลเซอร์มา เค้าห้ามโดนแดดอย่างน้อยหนึ่งอาทิตย์”
“โอ..จ้า..พ่อรูปหล่อ หน้ายังใสไม่พอ อยากจะหล่อกว่านี้..ว่างั้น”
ธีธัชยิ้มหวาน
“ก็นิดนึง”
ธีธัชเริ่มเข้ามาเลื้อย ดึงรั้งกรกนกเข้ามากอด
“ถ้าผมปล่อยตัวโทรม เดี๋ยวกรเบื่อ ทิ้งไป ผมก็เซ็งแย่” ธีธัชอ้อน
“ถ้ากรจะทิ้งคุณ ไม่ใช่เพราะคุณโทรม แต่เพราะอย่างอื่นมากกว่า”
ธีธัชดึงกรกนกมานัวเนีย กระซิบที่ข้างหูด้วยเสียงอ้อนสุดฤทธิ์
“แล้วมันเพราะอะไรล่ะจ๊ะ? เรื่องอะไรที่ผมจะทำให้กรเซ็ง..บอกได้เปล่า”
กรกนกยังไม่ทันตอบ เสียงโทรศัพท์มือถือธีธัชดังขึ้น เป็นเบอร์โชว์แต่ไม่มีชื่อขึ้น
“ธีคะ..โทรศัพท์คุณน่ะ”
ธีธัชทำท่าจะนัวเนียต่อ
“ช่างมันก่อน..คนกำลังยุ่ง”
กรกนกขำ ธีธัชยังคลอเคลีย เสียงโทรศัพท์เงียบไปสักครู่ เสียงข้อความดังเข้ามาแทน ธีธัชชักรำคาญ
“ผมปิดเครื่องก่อนนะ เดี๋ยวกลับมาต่อ” ธีธัชยิ้มทะเล้นใส่กรกนก
ธีธัชหยิบโทรศัพท์มาจะปิดเครื่อง แล้วก็ชะงักนิดๆ เพราะข้อความที่ส่งมานั้นขึ้นโชว์เป็นเบอร์ ด้วยความอยากรู้ ธีธัชจึงกดเปิดอ่าน หน้าจอข้อความขึ้นว่า
“เย็นนี้เลิกงานห้าโมงมารับด้วย .. ลำเภา”

ธีธัชโพล่งออกมาด้วยความแปลกใจ
“ยัยหนูตะเภา”
เพียงแต่กรกนกได้ยินชื่อเท่านั้น สีหน้าก็หมดอารมณ์ในทันที
“มีเบอร์เราได้ยังไงวะเนี่ย”
กรกนกพยายามถามน้ำเสียงปกติ
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ก็ยัยหนูตะเภาน่ะสิ บอกให้ผมไปรับที่ทำงานเย็นนี้จะบ้าหรือเปล่า ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ทำไมต้องไปรับ สงสัยกะจะเนียน พอไปรับก็โมเมว่าเป็นแฟน ยัยเด็กบ๊อง ฝันไปเหอะ ฉันไม่มีวันไปรับเธอหรอก อยากจะรอก็รอไป รอให้รากงอกฉันก็ไม่ไป”
ทันทีที่ธีธัชด่าจบ กรกนกหายไปจากเตียงแล้ว
“อ้าว..กร..กร..กร”
กรกนกเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยและเดินออกมาจากห้องแต่งตัว
“กรจะไปไหน”
“ไปชอปปิ้ง แล้วก็ไปนวดหน้า ไปสปา คลายเครียด”
“อ้าว..แล้วเมื่อกี๊ . ไม่ต่อเหรอ” ธีธัชถามซื่อๆ
กรกนกมองหน้าธีธัชอย่างหมดอารมณ์ ไม่มีคำตอบ แต่หยิบกระเป๋าและเปิดประตูห้องเดินออกไปในทันที ธีธัชได้แต่ร้องเรียก กรกนกปิดประตูไม่สนใจกับเสียงเรียก ธีธัชทิ้งตัวลงบนเตียงอีกครั้งด้วยความเซ็ง
“ยัยหนูตะเภา ยัยเด็กโรคจิต”

ธีธัชโวยวายอยู่คนเดียว

อ่านสามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 9
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์