อ่านดุจดาวดิน ตอนที่ 1/2
เช้าวันต่อมา คุณหญิงวิมลวรรณนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อย่างสนใจ
“ไม่เห็นมีข่าวเลย...สงสัยคุณเติมบุญจะปิดข่าว อ้าวตาภพ...”
วิมลวรรณเงยมองก้องภพ ที่รีบร้อนจะออกไป
“จะไปไหนนะ”
“จะไปส่งฟ้านะครับแม่”
“แม่นึกว่าจะเลื่อนการเดินทางเสียอีก หลานชายหายไปทั้งคน”
“ผมโทรไปถามมาฟ้าเองก็ไม่อยากไป แต่คุณลุงกับคุณป้าขอร้องให้ไป”
วิมลวรรณพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นแกก็ช่วยถามข่าวคราวแทนแม่ด้วย พูดให้เขารู้ว่าเราเป็นห่วงเป็นใยมากรู้มั้ย เขาจะได้มองว่าเรามีน้ำใจ”
“ครับแม่...วันนี้แม่ไม่ไปไหนใช่มั้ยครับ ผมจะให้ไอ้ช่วงขับรถไปให้รีบๆแบบนี้ไม่อยากขับเองเดี๋ยวโดนตำรวจจับ”
“ไม่ทันแล้วล่ะ พ่อแกเขาใช้ให้ขับรถไปต่างจังหวัดให้ ขี้เกียจขับทางไกลกว่าจะกลับก็พรุ่งนี้”
ก้องภพเซ็ง
“ว้า...แล้วใครจะขับให้ผมล่ะแม่”
วิมลวรรณยิ้มมีเลศนัย ก้องภพชะงักมองหน้าวิมลวรรณต่างรู้กันในที ก้องภพหัวเราะสะใจ
แม้การจราจรจะบางตา แต่ภาคินขับอย่างระวัง ก้องภพนั่งข้างหลังตะคอกใส่
“ขับเป็นเต่าคลานอยู่ได้ ฉันรีบๆๆๆแกได้ยินมั้ยขับให้มันเร็วกว่านี้หน่อย”
ภาคินข่มใจมองกระจกส่องหลัง ก้องภพมองตอบตวาด
“มองอะไร...”
ภาคินนิ่ง ก้องภพไม่เลิก
“ถ้าฉันไปส่งแฟนฉันไม่ทันล่ะก็ ฉันเอาเรื่องแกแน่ไอ้ภาคิน”
ภาคินข่มใจขับรถเร็วขึ้นตามที่ก้องภพต้องการ ก้องภพยิ้มอย่างเหนือกว่า
ที่สนามบิน...ปานฟ้าคุยอยู่กับเติมบุญและสายอุษา
“นี่ถ้าที่บ้านไม่มีเรื่อง ทุกคนก็คงมาส่งลูกกันพร้อมหน้าพร้อมตา” เติมบุญบอกเศร้าๆ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...ที่จริงฟ้าไม่อยากให้คุณพ่อกับคุณแม่มาส่งด้วยซ้ำ บอกตรงๆว่าฟ้าเป็นห่วงพี่เดือน ดูพี่เดือนอาการไม่ค่อยดีเลย”
“ไม่ต้องห่วงหรอกลูก ตั้งใจไปเรียนให้สำเร็จ ทางแม่เดือน พ่อรุทธิ์เขาดูแลได้อยู่แล้ว” สายอุษาบอกให้ลูกสาวสสบายใจ
“นั่นสิ..ถ้าได้ตัวทินภัทรกลับมาเมื่อไหร่ พี่สาวลูกก็คงไม่เป็นอะไรหรอก”
เติมบุญรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เครื่องออกกี่โมงล่ะ”
“อีกครึ่งชั่วโมง ฟ้าคงต้องเข้าไปข้างในแล้วล่ะคะ”
เติมบุญพยักหน้า
“เดี๋ยวฟ้าขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะคะ”
“ไปเถอะลูก...พ่อกับแม่จะรออยู่ตรงนี้”
ปานฟ้าเดินไป ก้องภพวิ่งหอบๆเข้ามาทักเติมบุญกับสายอุษา
“สวัสดีครับคุณลุง...คุณป้า...” ก้องภพไม่เห็นปานฟ้าก็ตกใจ “ฟ้าเข้าไปแล้วเหรอครับ”
เติมบุญหัวเราะ
“ยังหรอกหลานชาย...ยัยฟ้าไปห้องน้ำเดี๋ยวก็มา”
ก้องภพค่อยยิ้มออกมาได้
ภาคินเดินมาเข้าห้องน้ำ เด็กนักเรียนหิ้วตะกร้าใส่กุหลาบเข้ามาดักหน้า ภาคินหยุดมอง เด็กนักเรียนหยิบกุหลาบสีแดงส่งให้ดอกหนึ่ง
“พี่ขาช่วยซื้อกุหลาบหนูหน่อยนะคะ หนูจะเอาเงินไปเป็นค่าเทอมค่ะ”
ภาคินมองอย่างสงสาร
“ดอกละเท่าไร”
“สิบบาทค่ะ”
ภาคินพยักหน้า หยิบแบงก์ยี่สิบออกมาส่งให้
“เอ้า...ไม่ต้องทอนหรอกพี่ให้...แล้วก็ตั้งใจเรียนนะ”
เด็กพนมมือไหว้
“ขอบคุณค่ะ...”
ภาคินมองเด็กเดินจากไป ยิ้มอย่างสงสาร จะเดินเข้าด้านห้องน้ำชายแล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นปานฟ้าเดินออกมาจากด้านห้องน้ำหญิง
ปานฟ้าเงยหน้ามาเจอภาคินตกใจ รีบยกมือไหว้ ภาคินรับไหว้งงๆ
“ไหว้ผมทำไม...”
“ก็คุณเป็นพี่ชาย ของก้องภพไม่ใช่เหรอคะ”
ภาคินอึ้ง ยิ้มสมเพชตัวเอง
“ถ้าก้องภพได้ยินคงไม่พอใจนัก ทีหลังไม่ต้องไหว้ผมหรอกครับมันไม่เหมาะ”
“ฉันโตพอที่จะรู้ได้ด้วยตัวเองว่า อะไรเหมาะอะไรไม่เหมาะ แล้วการตัดสินใจของฉันก็ไม่เกี่ยวกับใครด้วยโดยเฉพาะก้องภพ”
ภาคินอึ้งไปอีก ปานฟ้าไหว้อีกครั้ง
“ฉันไปละคะ”
ปานฟ้าหันหลัง ภาคินรีบเรียกไว้
“เดี๋ยวครับ”
ปานฟ้าหันมามอง
“อะไรคะ”
“คุณ...ทำกิ๊บติดผมตกไว้ที่สนาม ผมเก็บได้ จะเอาไปให้แต่ไม่มีโอกาส”
ปานฟ้าดีใจ
“เหรอคะ...ถ้าอย่างนั้นฉันขอฝากไว้ก่อนก็แล้วกัน อีกหกปีจะกลับมาเอาค่ะ ถ้าคุณไม่ทำหายไปเสียก่อน”
ภาคินอดยิ้มไม่ได้ พอเธอจะเดินไปเขารีบพูด
“ขอให้เดินทางปลอดภัยนะครับ”
ปานฟ้าหันมายิ้ม ภาคินตัดสินใจส่งดอกกุหลาบให้ ปานฟ้าเขินๆขณะรับดอกกุหลาบมาถือไว้
“ขอบคุณค่ะ”
ปานฟ้ารีบหมุนตัวกลับเดินเร็วๆไป ภาคินมองตามจนเธอเดินลับไป
ปานฟ้าเดินกลับมาหาทุกคน ก้องภพดีใจรีบเข้าไปหา
“นึกว่าจะมาไม่ทันส่งฟ้าซะแล้ว”
“ต้องมาทำไมลำบากเปล่าๆ”
สายอุษามองนาฬิกา
“จวนได้เวลาแล้วมั้งลูก”
“ค่ะ” ปานฟ้ากราบที่อกเติมบุญและสายอุษา “ฟ้าไปก่อนนะคะยังไงถ้ามีข่าวหลานช่วยบอกฟ้าด้วย”
สายอุษายิ้มให้ลูกสาว
“จ้ะลูก...”
“ไม่ต้องคิดเรื่องอื่นนะยัยฟ้า คิดแต่เรื่องเรียนอย่างเดียว พ่อกับแม่จะรอความสำเร็จของลูก” บุญเติมเตือนสติ
ปานฟ้ายิ้มรับ
“ค่ะ...คุณพ่อ คุณแม่”
ปานฟ้าหันมาทางก้องภพ
“ไปก่อนนะก้องภพ ขอบใจมากที่มาส่ง”
“แล้วเมลมาคุยกันบ้างนะฟ้า”
ปานฟ้าพยักหน้า เดินเข้าไปที่ประตูทางเข้า เธออดเหลือบมองหาภาคินไม่ได้ แต่ไม่เห็น เธอก้มลงมองกุหลาบในมือ ก่อนจะหันกลับมาโบกมือให้ทุกคนแล้วตัดสินใจเดินเข้าไป
ภาคินยืนอยู่ด้านนอกสนามบิน มองเครื่องบินบนท้องฟ้านิ่งๆ ก้องภพเข้ามาด้านหลังพูดเยาะๆ
“ท่าทางแกเหมือนหมา มองเครื่องบินไม่มีผิดเลยว่ะ”
ภาคินสะอึก กำมือแน่นระงับอารมณ์เดินไปที่รถจอดอยู่ ก้องภพยิ้มเยาะเดินตามมาขึ้นรถไป ภาคินขับออกไปอย่างรวดเร็ว
ภาคินขับรถไปเรื่อยๆ ก้องภพนั่งกระดิกเท้าพูดขึ้นลอยๆ
“ป่านนี้ฟ้าคงร้องไห้ขี้มูกโป่ง เพราะทนคิดถึงฉันไม่ไหวแน่ๆ”
ภาคินเฉย ก้องภพชะโงกมาตรงกลางข้างๆ
“แกว่าแฟนฉันสวยมั้ยไอ้ภาคิน”
ภาคินนิ่ง ก้องภพพูดต่อโดยไม่ต้องการคำตอบ
“เสียดายจริงๆที่ยังไม่ทันได้ฟันก่อนไป แต่ก็ช่างเถอะยังไงๆยัยฟ้าก็ไม่พ้นมือฉันอยู่แล้ว”
ก้องภพถอยกลับไปนั่งกระดิกขา มองออกนอกหน้าต่าง มือภาคินกำพวงมาลัยรถแน่นเกร็งจนเส้นเลือดโปน เขาหักพวงมาลัยอย่างแรง จนก้องภพถลำไปข้างหน้า แต่มีเข็มขัดนิรภัยคาดไว้ ศีรษะชนเข้ากับข้างหน้า อย่างแรง หน้านิ่ว โวยวาย
“ไอ้บ้าเอ๊ย แกขับรถประสาอะไรว่ะ”
ภาคินตอบเรียบๆ
“ขอโทษครับ...คันหน้าแซงปาดเข้ามากะทันหัน ถ้าผมไม่หลบก็คงชน”
ก้องภพหันมองภาคิน แค้นๆ แต่เห็นภาคินหน้านิ่งมากเหมือนไม่ได้แกล้งจริงๆ ก็ขยับเสื้อผ้าให้เข้าที่ ภาคินสายตามีแววสะใจแวบเดียวก็กลับเป็นปกติ ตามองเครื่องบินเหนือฟ้าไกลๆเผลอยิ้มนิดๆ
บนเครื่องบิน...ปานฟ้านั่งอยู่ริมหน้าต่างมองออกไป ก่อนจะหันมามองกุหลาบที่ยังถืออยู่ในมืออดยิ้มให้ไม่ได้
คืนนั้น...ภาคินอยู่ในห้องนอน นั่งมองกิ๊บติดผมในมือ นึกถึงคำพูดของปานฟ้า
‘เหรอคะ...ถ้าอย่างนั้นฉันขอฝากไว้ก่อนก็แล้วกัน อีกหกปีจะกลับมาเอาค่ะ ถ้าคุณไม่ทำหายไปเสียก่อน’
ภาคินยิ้มนิดๆให้กับกิ๊บติดผมในมือ ก่อนจะลงมือเปิดลิ้นชักโต๊ะหากล่องมาใส่ สักพักเขาก็หากล่องเล็กๆได้ หยิบออกมาเปิดแล้วบรรจงวางกิ๊บของปานฟ้า ลงไปในกล่องอย่างทะนุถนอม
วันใหม่...เติมบุญ สายอุษา ปานเดือน อนิรุทธิ์มาตามคดีที่โรงพัก คุยกับตำรวจอยู่ในห้องร้อยเวร
“อะไรกันคุณตำรวจ จะเป็นเดือนอยู่แล้วทำไมมันไม่มีความคืบหน้าเลย” เติมบุญตบโต๊ะด้วยอารมณ์โกรธ
“ใจเย็นๆครับ...ทางเราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่ทางคนร้ายก็ไม่ยอมติดต่อมาเลย แบบนี้มันคงไม่ได้คิดจะเรียกค่าไถ่แล้วล่ะครับ” ตำรวจพยายามอธิบาย
ปานเดือนเสียงสั่น
“หมายความว่ายังไงคะ”
“มันอาจจะขโมยเด็กไปเป็นลูก หรืออาจจะเป็นพวกโรคจิต ที่ชอบทำร้ายเด็กก็ได้”
ปานเดือนร้องไห้
“อะไรนะคะ”
อนิรุทธิ์พยายามปลอบ
“ใจเย็นๆคุณเดือน”
สายอุษาร้อนใจ
“ไม่มีทางอื่นเลยหรือคะคุณตำรวจ”
“ผมส่งสายสืบออกตามหาทั่วเลยนะครับ แม้กระทั่งแถวชายแดน ถ้ามันเอาเด็กไปขายละก็ ไม่รอดสายตาไปได้หรอกครับ”
จู่ๆปานเดือนก็กรี๊ดขึ้นมากแล้วสลบไป ทุกคนตกใจมาก เติมบุญกับสายอุษามองลูกอย่างสงสาร
“แม่เดือน...โธ่ เดือนลูก”
“รีบพาคุณเดือน ส่งโรงพยาบาลเถอะครับ เธอช็อกไปแล้ว”
ทั้งหมดกุลีกุจออย่างตื่นตระหนกรวมทั้งตำรวจด้วย
ปานดาวคุยโทรศัพท์ แกล้งร้องตกใจ
“ตายแล้ว...โธ่นี่ยัยเดือนจะเป็นอะไรมาก หรือเปล่าคะคุณแม่”
ภูวดลยืนฟังอยู่ข้างๆลุ้น
“รอหมอตรวจอยู่เหรอคะ...ค่ะ...เดี๋ยวดาวจะรีบไปโรงพยาบาลเลยค่ะๆๆ คุณแม่”
ปานดาวตัดการติดต่อยิ้มเยาะ ภูวดลรีบถาม
“ไงคุณ ถึงกับเข้าโรงพยาบาลเลยเหรอ อาการเป็นไง”
“ยังไม่รู้ แต่ฉันภาวนาขอให้มันเป็นบ้าไปเลยยิ่งดี”
ปานดาวยิ้มเยาะอย่างร้ายกาจสุดๆ
ปานเดือนนอนซึมอยู่บนเตียงคนไข้ ไม่มองหน้าใครไม่พูดจา ทุกคนกังวลมาก สายอุษาหันมามองหมอ
“ทำไมลูกสาวฉัน เป็นแบบนี้ล่ะคะหมอ”
“จากการตรวจร่างกายทั้งหมด คุณปานเดือนก็ปกติดี”
เติมบุญสงสัย
“หมายความว่ายังไง”
“ผมคิดว่า น่าจะเป็นอาการทางจิตใจมากกว่าครับ”
อนิรุทธิ์ตกใจ
“อะไรนะครับคุณหมอ คุณเดือนมีอาการทางจิตเหรอครับ”
หมอพยักหน้า
“หมออยากแนะนำ ให้พาคนไข้ไปพบจิตแพทย์ให้เร็วที่สุด”
ทุกคนตกใจ สายอุษาจับแขนปานเดือนคร่ำครวญ
“โธ่แม่เดือนของแม่...เวรกรรมอะไรถึงต้องมาเป็นอย่างนี้”
เติมบุญแน่นหน้าอก ทำท่าจะทรุด อนิรุทธิ์หันมาเห็นร้องตกใจ
“คุณพ่อ...”
หมอรีบเข้ามาช่วยประคอง ทุกคนวุ่นวายโกลาหลกันยกใหญ่
เติมบุญนอนนิ่งอยู่บนเตียง ในห้องพักผู้ป่วยสายอุษานั่งอยู่ข้างเตียง มองแล้วหันมาพูดกับอนิรุทธิ์
“แม่เดือนก็แย่ คุณพี่ก็โรคหัวใจกำเริบ”
“ตั้งสติไว้นะครับคุณแม่” อนิรุทธิ์ปลอบ
สายอุษาถอนใจ
“ทุกอย่างมันเกิด เพราะทินภัทรหายไปแท้ๆ”
อนิรุทธิ์หน้าเศร้าสลดลง
“ใช่ครับ ถ้าตามลูกกลับมาได้ทุกคนคงดีขึ้น”
สายอุษาหน้าเครียดหนักใจ
“แล้วเราจะไปตามทินภัทรได้ที่ไหนล่ะ ขนาดตำรวจยังไม่เจอเลย”
“ยังไงๆ ผมก็ต้องตามทินภัทรกลับมาให้ได้”
อนิรุทธิ์น้ำตาคลอ แต่ใบหน้าและสายตาไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
ภูวดลกับปานดาวมาหาพิมที่ห้องเช่าเก่าๆ แล้วส่งเงินให้ พิมกระตุกเงินจากมือภูวดลไป
“นึกว่าจะไม่ได้ซะแล้ว หายหัวไปเลยนะพี่”
“ก็บอกแล้วไงว่าต้องรอให้เรื่องมันเงียบซะก่อน ว่าแต่แกก็ได้เงินที่ขายไอ้ทินภิทรไป ใช้หมดแล้วเหรอไง”
“ไม่หมดได้ไง ก็ตอนนี้ฉันต้องทำมาหากินคนเดียว ไม่ได้สุขสบายเหมือนพี่นี่นา”
พิมมองปานดาวอย่างไม่ชอบหน้า
“กลับเถอะภู...อึดอัดจนหายใจจะไม่ออกอยู่แล้ว” ปานดาวรำคาญลุกขึ้น
พิมมองหมั่นไส้ ปานดาวจ้องพิม
“จำไว้น่ะอย่าเผลอไปหลุดปากเรื่องนี้เด็ดขาด ต่อให้เธอเป็นน้องของภูฉันก็เอาตายแน่”
พิมกระแทกเสียง
“รู้แล้วล่ะค่ะ”
พิมลุกตาม แล้วเซจะล้มภูวดลรีบรับ
“แกไม่สบายเหรอนังพิม”
“อาการปกติของคนท้องน่ะไม่เป็นไรหรอก นี่ก็ยังคิดๆอยู่ว่าจะไปเอาออกแต่ก็กลัวๆกล้าๆอยู่เนี่ย ขืนออกมาก็จะพากันอดตาย”
พิมส่ายหัวเซ็งๆ ภูวดลมองพิมอย่างครุ่นคิด
ภูวดลขับรถมาจอดริมถนน หันไปบอกปานดาวว่าจะเอาลูกของพิม มาเลี้ยงเป็นลูกตัวเอง ปานดาวฟังแล้วตกใจ
“อะไรนะ...คุณพูดใหม่สิ”
ภูวดลยิ้มอย่างมีแผน
“ผมบอกว่า...เราน่าจะเอาลูกนังพิมมาเป็นลูกของเราเสีย...ตอนนี้ทินภัทรก็ไม่อยู่แล้วถ้าคุณมีลูกแล้วเกิดเป็นลูกชาย สมบัติพ่อคุณจะไปไหนเสีย”
ปานดาวคิดตามอย่างเริ่มสนใจ
“แล้วน้องคุณจะยอมเหรอ”
“นังพิมน่ะไม่มีปัญหาแน่...มันเองก็ไม่อยากได้ลูกอยู่แล้ว”
“แล้วท้องฉันล่ะ...จะทำยังไงไม่ให้ใครๆสงสัย”
“ไม่ยาก...ไอ้เรื่องที่ผมเป็นหมันก็ไม่มีใครรู้...กลับไปนี่คุณก็แกล้งทำเป็นแพ้ท้อง แล้วก็บอกใครๆว่าท้อง จากนั้นก็ขอคุณแม่ไปเมืองนอก อ้างว่าแพ้อากาศเมืองไทยหรืออะไรก็ได้ รอจนนังพิมคลอด เราก็อุ้มเด็กกลับมาอุปโลกน์ว่าเป็นลูกเรา ใครจะมาสงสัย...”
ปานดาวพยักหน้าเห็นด้วย
“ไม่เลว...แต่ถ้าถึงตอนนั้น นังพิมมันเกิดเสียดายลูกขึ้นมาล่ะ”
“ก็ให้มันมาอยู่กับลูกมันก็ได้นี่...ให้มันเป็นคนเลี้ยงเด็กก็ได้”
“แน่ใจนะว่าจะไม่มีปัญหา”
“นังพิมนะถึงมันจะล้นๆไปบ้าง แต่มันก็เกรงผมมาก ผมรับรองว่ามันไม่ทำให้เราเดือดร้อนหรอก คุณว่าไง...คุณดาว”
ปานดาวคิดหนัก ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
สองปีต่อมา....ปานฟ้านั่งอยู่หน้าโน้ตบุ๊ค คุยกับอนิรุทธิ์กับสายอุษาผ่านเว็บแคม
“ฟ้าผอมไปนะลูก”
“นิดหน่อยค่ะแม่ ใกล้จะสอบแล้วช่วงนี้ฟ้าอยู่ดูหนังสือดึกๆทุกคืน แล้วพี่เดือนละค่ะ”
อนิรุทธิ์มองสายอุษา ก่อนจะรีบพูดยิ้มแย้ม
“หลับไปแล้วจ้ะ”
“ว้าทุกทีเลย ไม่ได้คุยกับพี่เดือนสักครั้ง ถ้าอย่างนั้นฟ้าฝากบอกพี่เดือนด้วยนะคะว่าให้หายเร็วๆ คุณพ่อล่ะคะคุณแม่”
“อ๋อ...คุณพ่อไปงานเลี้ยงนะจ้ะ นี่ก็บ่นถึงลูกอยู่บ่อยๆ”
“ก็ยังดีนะคะ ที่พี่ดาวมีธัญวิทย์มาช่วยแก้เหงา ให้คุณพ่อหายคิดถึงทินภัทรได้บ้าง”
สายอุษาอึ้งๆไปเมื่อนึกถึงธัญวิทย์ ลูกชายของปานดาว อนิรุทธิ์รีบเปลี่ยนเรื่อง
“ตกลงปิดเทอมนี้ ฟ้าจะไม่กลับบ้านอีกแล้วเหรอครับ”
“ค่ะ...ฟ้าได้งานก็เลยอยากลองทำดู จะได้เป็นประสบการณ์ด้วย อีกอย่างฟ้าเสียดายค่าเครื่องบินนะคะ เอ้อจริงสิธัญวิทย์กี่ขวบแล้วคะ”
“ขวบกว่าๆแล้วจ้ะ”
“คงกำลังน่ารักน่าดูเลย”
สองคนยิ้มเจื่อนๆ แต่ปานฟ้าไม่ทันสังเกต
ธัญวิทย์ ปัดจานข้าวตกกระจายร้องงอแง
“ไม่กินๆๆๆ”
พิมมองอย่างเหลืออด จะเข้ามาตี
“ไอ้เด็กบ้าดื้อชะมัด...ตีซะทีดีมั้ยเนี่ย”
“หยุดนะนังพิม” เสียงปานดาวดังขึ้น
พิมชะงัก ปานดาวเข้ามาอุ้มธัญวิทย์ไป
“แกจะทำอะไรคุณธัญวิทย์”
“ไม่ทำอะไรหรอกค่ะ...แต่คุณดูสิคะ...ดื้อเป็นบ้าเลยพิมจะไม่ไหวอยู่แล้ว”
“ถ้าแกไม่ไหวก็ไสหัวไป”
พิมชะงัก ปานดาวมองหน้า
“แต่ถ้าแกจะอยู่ต่อ ก็ต้องทำให้ได้ และอย่าบังอาจมาแตะต้องลูกฉันเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นแกโดนดีแน่นังพิม”
ปานดาวอุ้มธัญวิทย์เดินไป พิมมองเยาะ
“ลูกฉันๆๆเชอะ...พูดได้ไม่อายปาก นี่ถ้าไม่เห็นแก่สมบัติไอ้แก่ล่ะก็ นังพิมไม่อยู่ให้สับโขกอย่างนี้หรอก”
พิมถอนใจอย่างหัวเสีย
ปานฟ้าปิดโน้ตบุ๊คลงมา หยิบหนังสือเดินมาที่เตียงจะอ่าน เปิดไปเจอดอกกุหลาบที่ทับไว้จนแห้ง เธอหยิบดอกกุหลาบออกมาดูมองยิ้มๆพึมพำ
“ป่านนี้เจ้าของกุหลาบดอกนี้ จะยังเก็บกิ๊บของเราไว้ให้หรือเปล่าน้า”
ปานฟ้าลุกเดินไปยืนมองนอกหน้าต่าง เหมือนจะมองข้ามขอบฟ้าไปให้ถึงเมืองไทย
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น...ภาคินมองกิ๊บในมือแล้วยิ้มๆ
“สองปีแล้วสิ...เหลืออีกสี่ปีกว่าเจ้าของเขาจะมาเอาคืน หรือไม่ป่านนี้เขาก็ลืมเจ้าแล้วล่ะเจ้ากิ๊บน้อย”
ขณะเดียวกันนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้น ภาคินรีบวางกิ๊บลงในกล่องเก็บใส่ลิ้นชักตามเดิม เดินไปเปิดประตูเห็นป้านุ่มยืนอยู่
“ป้า...มีอะไรเหรอครับ”
“คุณพ่อให้มาตามคุณหนูไปพบค่ะ”
ภาคินแปลกใจ
เมื่อภาคินมาพบอานนท์ที่ห้องทำงาน เขาถามเสียงอ่อนโยน...
“เรียนจบแล้วสินะเรา”
“ครับ”
“ดีแล้วจะได้มาช่วยงานที่บริษัท เริ่มพรุ่งนี้เลยดีมั้ย ไปพร้อมพ่อก่อน แล้วพ่อจะดูรถดีๆให้ใช้สักคัน”
ภาคินมองหน้า พูดอย่างเกรงใจแต่เด็ดเดี่ยว
“ผมได้งานแล้วครับ”
อานนท์หน้าเปลี่ยนเป็นเครียด
“งานอะไร”
“เป็นอาสาสมัครมูลนิธิเด็กกำพร้าครับ”
อานนท์ส่ายหน้า
“นึกยังไงจะไปทำงานแบบนั้น บริษัทเราก็มีแกน่าจะมาช่วยพ่อมากกว่า”
ทันใดนั้นเสียงวิมลวรรณดังเข้ามา
“จะไปฝืนใจลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทำไมกันคะ”
วิมลวรรณเข้ามานั่งข้างๆอานนท์
“ควรจะให้เจ้าตัวเขาทำงานที่ใจรักมากกว่า ฉันว่างานที่เขาอยากทำก็เหมาะสมกับตัวเขาอยู่แล้ว” วิมลวรรณเน้นเยาะๆ “มูลนิธิเด็กกำพร้า ไม่เลว...ไม่เลวทีเดียว”
วิมลวรรณหัวเราะเหมือนกับขำมาก ภาคินนิ่งอย่างพยายามข่มความรู้สึก
ภาคินเดินมาหยุดหอบๆ เพราะพยายามข่มอารมณ์สุดๆ เขาเงยหน้ามองดาวบนฟ้า ส่ายหน้าถามอย่างอัดอั้น
“แม่ครับ...แม่อยู่ที่ไหนทำไมแม่ถึงทิ้งผมไป...ทำไม...ทำไม”
ภาคินทรุดลงคุกเข่าอยู่กับพื้น ป้านุ่มเข้ามาจับที่บ่า ภาคินหันมามอง
“ป้านุ่ม...”
ป้านุ่มคุกเข่าลงข้างๆ น้ำตาคลอ
“อดทนไว้นะคะคุณหนู เชื่อป้าเถอะค่ะว่า คนดีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายย่อมคุ้มครอง สักวันคุณหนูก็ต้องได้รับสิ่งดีๆตอบแทน”
“ผมไม่ต้องการอะไรเลยครับป้านุ่ม ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงผมขอให้แม่กลับมาหาผม อย่าทิ้งผมไปอย่างนี้ ผมก็พอใจแล้ว”
“แม่ของคุณหนู ไม่ได้อยากทิ้งคุณหนูไปหรอกนะคะ”
ภาคินชะงัก ถามละล่ำละลัก
“ป้า...ป้ารู้จักแม่ของผมเหรอครับ ป้ารู้เรื่องแม่ใช่มั้ย...ใช่มั้ยครับป้านุ่ม”
ภาคินมีความหวัง ป้านุ่มอึกอักรีบส่ายหน้า
“ป้าไม่รู้หรอกค่ะ...เพียงแต่ป้าเชื่อว่าคนเป็นแม่ ไม่มีวันที่จะทิ้งลูกของตัวเองหรอก ถ้ามันไม่มีเรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ”
ภาคินก้มหน้าหมดหวัง ป้านุ่มได้แต่มองอย่างสงสารจับใจ
วิมลวรรณจ้องอานนท์ตาเขียว
“ทำไมฉันแตะต้องมันไม่ได้เลยเหรอ”
“ผมไม่เข้าใจคุณจริงๆ ทำไมคุณชอบฟื้นฝอยหาตะเข็บ คุณมีความสุขมากนักเหรอคุณหญิง กับการที่ได้พูดจากระทบกระแทกแดกดันผมกับภาคิน”
“ฉันไม่ได้มีความสุข ฉันมีแต่ความเจ็บปวดที่โดนผัวตัวเองสวมเขาให้”
อานนท์ข่มใจ
“ผมขอโทษคุณกี่ร้อยหนแล้ว”
“อ๋อ...คุณนึกว่าแค่ขอโทษ มันก็ลบล้างความชั่ว ที่คุณกับนังบุษบาร่วมมือกันทำร้ายจิตใจฉันได้อย่างงั้นเหรอ”
ภาคินเดินผ่านหน้าห้องมาถึงชะงักฟัง ทันใดนั้นประตูเปิดออกมาอย่างแรง ภาคินรีบหลบเข้าหลังประตู เขาเห็นพ่อเดินหัวเสียออกไป เสียงวิมลวรรณยังดังตามออกมาอย่างแค้นๆ
“ไปเลยจะไปลงนรกที่ไหนก็ไปเลย...ไป๊”
ภาคินสีหน้ามีความหวังขึ้น พึมพำออกมา
“บุษบา...แม่ชื่อบุษบา”
ค่ำคืนนั้น....เสียงดนตรีและเสียงร้องลิเกจากด้านหน้าเวทีดังจนมาถึงด้านหลัง นักแสดงคนอื่นๆ เตรียมการแสดงอยู่
บุษบาที่เวลานี้เปลี่ยนใหม่ชื่อเป็นกัญญา เปิดนิตยสารฉบับหนึ่งค้างไว้ ภาพในนิตยสารเป็นภาพของวิมลวรรณ อานนท์ และก้องภพ ถ่ายรูปครอบครัวด้วยสีหน้าและท่าทางอบอุ่นร่วมกันแต่ไม่มีรูปของภาคิน เธอไล้มือไปที่ภาพนั้น น้ำตารื้น รีบเปิดอ่านข้อความสัมภาษณ์อย่างรวดเร็วแล้วเงยหน้าขึ้น พึมพำกับตัวเอง
“ทำไมไม่มีลูกแม่...” กัญญาน้ำตาคลอ “ไม่มีใครพูดถึงลูกเลยสักคนหรือว่า...โธ่ลูก”
กัญญาร้องไห้ ถมเดินเข้ามา
“ถึงคิวแล้วแม่กัญญา อ้าว...ร้องไห้อีกแล้ว”
กัญญารีบเช็ดน้ำตา
“คิดถึงลูกอีกล่ะสิ”
“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละพี่”
กัญญาจะลุก ถมจับมือไว้ มองอย่างเห็นใจมาก
“ลูกแม่กัญญาก็ตายไปนานแล้ว หักอกหักใจเสียบ้างเถอะ เห็นเธอโศกเศร้าบ่อยๆ อย่างนี้ฉันเป็นห่วงนะ”
ช้อยเป็นนางร้ายประจำคณะแต่งชุดลิเกอยู่มุมหนึ่ง ชะงักหยุดมองอย่างไม่พอใจ ก่อนจะสะบัดไป กัญญาดึงมือออกอย่างสุภาพ
“จ้ะ...พี่ขอบใจมาก”
กัญญารีบเดินออกไป ถมถอนใจพึมพำ
“เมื่อไรเธอจะยอมใจอ่อนกับฉันซะทีนะแม่กัญญา”
ช้อยยืนมองกัญญา เดินมาถึงอย่างหมั่นไส้พูดขึ้นลอยๆ ปรายตาไปทางถม
“เคยเห็นแต่นางเอก ต้องคอยง้องอนเจ้าของคณะ เพิ่งจะเห็นคณะนี้แหละที่เจ้าของต้องคอยงอนง้อเอาใจแม่นางเอก อีกหน่อยคงต้องกราบให้มาเล่นเลยละมั้ง”
กัญญาชะงัก แล้วตัดใจไม่สนเดินผ่านช้อยไปข้างเวทีเตรียมตัวขึ้นแสดง ช้อยยังพูดต่อ
“พี่ถม ก็ช่างกระไร สาวๆสดๆไม่สน สนแต่พวกแตงเถาตายอย่างนังกัญญาเชอะ”
กัญญาหันกลับมาแต่ช้อยเดินเชิดไป กัญญาได้แต่ถอนหายใจข่มใจตัวเองไม่ให้โกรธ
เมื่อออกไปหน้าเวที...กัญญาร้องลิเกตามบทบาท เสียงร้องไพเราะจับใจผู้ชม จนผู้ชมปรบมือให้ ถมโผล่หน้าออกมาดูจากด้านข้างของโรงลิเก
“เพราะจริงๆ แฟนลิเกของแม่กัญญานี่เหนียวแน่นจัง ไปแสดงที่ไหน คนเยอะทุกที่”
ที่ด้านข้างเวทีอีกข้างหนึ่ง ช้อยมองดูกัญญาร้องลิเกด้วยสายตาหมั่นไส้
“หมั่นไส้ สักวันฉันจะเฉดหัวแกออกจากคณะนี้ให้ได้”
ช้อยคำรามในลำคอ
อ่านดุจดาวดิน ตอนที่ 1/2
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์