หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2555

อ่านดุจดาวดิน ตอนที่ 1/3

อ่านดุจดาวดิน ตอนที่ 1/3
เช้าวันต่อมาป้านุ่มถือตะกร้าออกมาจากบ้าน เดินมองหารถพึมพำ

“วันนี้พวกวินมอเตอร์ไซค์ มันหายหัวไปไหนหมด”
เสียงกัญญาเรียกดังมาเบาๆ
“พี่นุ่ม...พี่นุ่ม”
ป้านุ่มหันซ้ายขวา
“ใครเรียก”

ป้านุ่มตาโต เมื่อเห็นกัญญาแอบอยู่มุมหนึ่ง ป้านุ่มรีบลนลานเข้าไปหา
“แม่บุษบา...นี่ฉันไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย”
“ฉันเองจ้ะพี่นุ่ม”
ป้านุ่มมองซ้ายขวาร้อนรน
“ไปหาที่คุยกันที่อื่นเถอะ...ไปเร็ว”
กัญญาพยักหน้าเห็นด้วย

ในตลาดสด...ผู้คนจับจ่ายซื้อของกันมากมายมากมาย กัญญากับป้านุ่มนั่งคุยกันอย่างตื่นเต้น อยู่ที่ร้านกาแฟเล็กๆ
“ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เจอกันอีก นี่แม่บุษไปอยู่ที่ไหนมาล่ะ แล้วยังเล่นลิเกอยู่หรือเปล่า หรือทำมาหากินอะไร โอ๊ย...ฉันดีใจจริงๆ”
“ฉันก็ยังเล่นลิเกเหมือนเดิม แต่อยู่ไม่ค่อยเป็นที่เป็นทางหรอกจ้ะ ที่ไหนเล่นดีก็ปักหลักนานหน่อย ถ้าไม่มีคนก็เร่ไปเรื่อยแล้วแต่เจ้าของคณะเขา”
ป้านุ่มพยักหน้าน้ำตาไหล
“ลำบากแย่สินะแม่คุณเอ๊ย...ดูผอมดำไปนะ”
กัญญาตื้นตันพูดไม่ออกน้ำตาไหลเหมือนกัน ป้านุ่มรีบเช็ดน้ำตา
“เออแล้วมานี่ มีอะไรเดือดร้อนหรือเปล่า”
ป้านุ่มควักกระเป๋าสตางค์ออกมาจะเปิดหยิบเงิน
“ฉันก็ไม่มีเงินติดตัวมามากนัก แค่เอามาซื้อกับข้าว แม่บุษเอาไปก่อนก็แล้วกัน”
กัญญารีบห้าม
“ฉันไม่ได้มาหาพี่นุ่มเพราะเรื่องเงินหรอกจ้ะ”
ป้านุ่มชะงัก กัญญารีบพูดต่อ
“ฉันอยากรู้ข่าวคราวเรื่องลูก...เขาเป็นยังไงบ้างป่านนี้คงโตเป็นหนุ่มแล้วสิน่ะ”
ป้านุ่มอึ้งมองกัญญา ที่ร้องไห้ออกมาอีกอย่างสงสาร
“ลูกคงโกรธและเกลียดฉันมาก” กัญญาบอกอย่างเสียใจ
“ไม่หรอก...คุณหนูแค่เสียใจ เพราะเธอไม่เข้าใจว่าทำไมแม่บุษ ถึงต้องทิ้งเธอไป”
ป้านุ่มมองกัญญา ที่กำลังร้องไห้อย่างสงสาร
“ฉันเองก็น้ำท่วมปาก จะพูดอะไรก็ไม่ได้ แม่บุษก็คงเข้าใจฉันนะ”
“ฉันเข้าใจดีจ้ะพี่นุ่ม ยังไงฉันก็ฝากภาคินด้วย ฉันมันคนมีกรรมมีลูกก็ไม่ได้เลี้ยงดูอุ้มชูเขาเลย”
ป้านุ่มนึกขึ้นได้ หยิบกระเป๋าเงินออกมา ดึงรูปถ่ายภาคินครึ่งตัวออกมายื่นให้
“นี่ไงรูปคุณหนู ตอนเรียนจบเห็นว่าต้องไปถ่ายติดใบสมัครงานอะไรนี่ละ เอามาอวดฉัน ฉันก็เลยขอไว้ เอ้าฉันให้แม่บุษ”
กัญญาดีใจมากรับรูปมามือสั่น ตาจ้องรูปภาคินอย่างปลื้มใจ
“ภาคิน...โตเป็นหนุ่มขนาดนี้เชียวเหรอ”
“โอ๊ย...รูปร่างสูงใหญ่ดูสิได้เค้าหน้า ทั้งพ่อทั้งแม่มาเชียว”
กัญญาค่อยๆเอามาแนบอกอย่างทะนุถนอม ป้านุ่มมองแล้วเบือนหน้าไปเช็ดน้ำตาอย่างสะเทือนใจ

ภาคินอยู่ในห้องทำงานของมูลนิธิเด็กเร่ร่อน เขากำลังดูแฟ้มประวัติของเฟื่องแก้วที่มาสมัครงานอย่างพอใจ ก่อนจะเงยหน้ามองเธอที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“ผมพอใจประสบการณ์ของคุณมาก”
เฟื่องแก้วตาโต
“หมายความว่า...”
ภาคินลุกขึ้นยื่นมือไปตรงหน้า
“ยินดีที่เราจะได้ร่วมงานกัน”
เฟื่องแก้วรีบยกมือไหว้ มองภาคินหน้าแดง
“ขอบคุณมากค่ะ...แก้วจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด”
“ผมเชื่อ...ว่าแต่คุณจะเริ่มงานได้เมื่อไร”
“เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
ภาคินงง
“แต่คุณต้องพักอยู่ที่นี่นะ”
“ไม่มีปัญหาค่ะ ตอนเลิกงานแก้วจะกลับไปเอากระเป๋าที่หอพัก แก้วอาศัยเพื่อนอยู่น่ะค่ะ”
ภาคินพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็ทำความรู้จักกับเด็กๆก่อน ส่วนเรื่องตารางกิจกรรมต่างๆอยู่ที่ห้องด้านนอกคุณลองไปศึกษาดูไม่เข้าใจอะไรก็มาถามผมได้”
“ค่ะ...คุณภาคิน”
ภาคินก้มหน้าทำงานต่อ เฟื่องแก้วมองเขาอย่างพอใจมาก

เมื่อออกมานอกห้อง เฟื่องแก้วเดินมาหยุดเคลิ้มๆ หันไปมองทางห้องทำงานของภาคิน
“หล่อจัง...ฮึ่ม...”
เฟื่องแก้วหันกลับมาจะเดินต่อชนกับตุลย์เต็มแรง
“โอ๊ย...”
เฟื่องแก้วเซจะล้ม ตุลย์รีบคว้าเอวไว้ดึงเข้ามากอด แล้วมองตาเฟื่องแก้วอย่างซึ้งมาก เขาครุ่นคิดในใจ
‘โอโห...เหมือนในละครเลยแหะ...สงสัยจะเป็นเนื้อคู่เราแน่ๆ’
เฟื่องแก้วได้สติ ผลักเขาออกเต็มแรง แถมตบหน้าฉาดใหญ่
“หน่อยแน่...แตะอั๋งฉันเหรอไอ้บ้า”
ตุลย์ตะลึงลูบแก้มอย่างงงๆกลืนน้ำลายพึมพำ
“ไม่เห็นเหมือนในละครเลย”
ภาคินเข้ามาด้านหลังทักเสียงดัง
“อ้าวหมวดตุลย์...สวัสดีครับ”
ตุลย์กับเฟื่องแก้วหันไปมองภาคิน
“สวัสดีคุณภาคิน”
“แก้วรู้จักร้อยตำรวจตรีตุลย์ พิบูลย์รังสรรค์ไว้สิ หมวดทำหน้าที่ประสานงานกับมูลนิธิเรา...นี่คุณเฟื่องแก้วครับหมวดเจ้าหน้าที่คนใหม่” ภาคินแนะนำ
เฟื่องแก้วยิ้มเจื่อนๆ
“เอ้อ...ขอโทษนะคะหมวด...ฉัน...”
ตุลย์รีบยิ้มหน้าทะเล้น
“ไม่เป็นไรครับ...ผมถือว่าฟาดเคราะห์ก็แล้วกัน”
ภาคินงงๆ
“พูดเรื่องอะไรกันครับเนี่ย...”
สองคนสบตากันแล้วขำ ภาคินมองอย่างไม่เข้าใจ

ภาคินเดินนำตุลย์เข้าไปในห้อง แล้วหัวเราะเสียงดัง
“ก็วันนี้หมวดไม่ได้ใส่เครื่องแบบ แก้วเขาคงนึกว่าพวกโรคจิต ชอบฉวยโอกาสกับผู้หญิงล่ะมั้ง”
ตุลย์ตาเหลือก
“นี่หน้าตาผม เหมือนไอ้พวกโรคจิตอย่างงั้นเหรอ”
ภาคินขำมากขึ้น
“เปล่าๆผมไม่ได้หมายความว่ายังงั้น”
ตุลย์มองค้อน ภาคินพยายามหยุดหัวเราะ
“ว่าแต่หมวดมานอกเครื่องแบบอย่างนี้ สงสัยไปสืบอะไรเด็ดมาอีกล่ะสิท่า”
ตุลย์เปลี่ยนเป็นจริงจัง
“ผมกำลังตามตัวไอ้หัวหน้าใหญ่มันอยู่ ไอ้นี้มันร้ายมาก จับกี่ทีก็ได้แต่พวกกระจิ๊บกระจ้อย ส่วนตัวมันหนีไปได้ทุกที เจ้าหน้าที่ชุดเก่านะล่ามันมาหลายปีแล้ว”
“ไม่ว่าจะกี่ปี เราก็ต้องกำจัดพวกขยะสังคมพวกนี้ให้หมด ไม่อย่างนั้นจะต้องมีเด็กที่ถูกลักพามาใช้แรงงานอย่างทารุณอีกนับไม่ถ้วน” ภาคินบอกอย่างจริงจัง
“ถูก...คุณนี่อุดมการณ์แรงกล้าจริงๆ อย่างนี้สิเราถึงร่วมมือกันได้”
“แล้วไอ้ตัวหัวหน้านี่มันชื่ออะไรครับหมวด”
“ไอ้พ่วง...”
แม้จะรู้ตัวหัวหน้า แต่การจับกุมไม่สามารถทำได้ในช่วงเวลานั้น...

หลายปีต่อมา...ค่ำคืนหนึ่ง พ่วงนั่งรอรับเงินอยู่ในบ้าน เด็กๆหน้าตามอมแมมเข้าแถวมาส่งเงินที่หาได้ทั้งวันให้ พ่วงรับเงินจากเปี๊ยกยิ้มพอใจ
“แจ๋วมากไอ้เปี๊ยก วันนี้แกได้กินข้าวอิ่มแน่”
เปี๊ยกยิ้มออกเดินหลบไป บุญทิ้งเป็นรายต่อไป ส่งเงินให้น้อยนิด พ่วงรับมาแล้วตวาดเสียงดัง
“ไอ้บุญทิ้ง...ทำไมได้แค่นี้ว่ะ...อมเงินข้าเหรอ”
บุญทิ้งรีบปฏิเสธอย่างกลัวๆ
“เปล่านะลุง...วันนี้ฉันหาได้แค่นี้จริงๆ”
พ่วงลุกขึ้นกระชากบุญทิ้งมาค้นทั่วตัวอย่างไม่ปรานี แต่ไม่เจอก็โมโหมาก
“เฮ้ย...นี่มันยังได้ไม่ถึงครึ่งของทุกวันเลย แกอู้หรือเปล่าไอ้บุญทิ้ง”
“เปล่านะลุง ฉันไม่ได้อู้แต่วันนี้ไม่มีใครให้ฉันเลย”
“ไม่จริง...แกนะมันตัวทำเงินจะตาย ใครเห็นแกเขาก็อยากให้ทั้งนั้น แกต้องอู้แน่ๆไอ้เด็กเวรนี่คิดจะลองดีกับข้าใช่มั้ย”
พ่วงกระชากบุญทิ้งมาตีอย่างไม่ฟัง บุญทิ้งร้องลั่น
“โอ๊ย...ลุงพ่วง ฉันเจ็บ...โอ๊ย”
บุญทิ้งได้แต่วิ่งหนีไปรอบๆตัวพ่วง เพราะพ่วงกระชากเสื้อไว้มือหนึ่งอีกมือก็ตีตามตัวไม่หยุด
“มานี่ มาให้ข้าตีซะดีๆ ไอ้ทิ้ง...จับตัวได้ เอ็งหลังลายแน่ ไอ้ทิ้ง”

กลางดึก...บุญทิ้งนั่งกอดเข่าร้องไห้สะอื้นอยู่มุมหนึ่ง เปี๊ยกย่องๆออกมายื่นชามข้าวให้ บุญทิ้งรีบรับมากินอย่างหิวโหย กินไปปาดน้ำตาไป เปี๊ยกมองอย่างสงสาร
“เอ้า...ช้าๆเดี๋ยวก็ติดคอตายหรอกไอ้บุญทิ้ง”
บุญทิ้งชะงักทำท่าติดคอขึ้นมาจริงๆ วางชามรีบวิ่งไปที่ตุ่มคว้าขันตักน้ำมากินทำท่าโล่งอก เดินกลับมานั่งหงอยๆ มองเปี๊ยกแล้วถามเบาๆ
“ทำไมลุงพ่วงแกใจร้ายกับพวกเราจัง”
เปี๊ยกทิ้งตัวนั่งลงถอนใจ
“ก็เพราะเราไม่ใช่ลูกใช่หลานเขานี่”
“แล้วทำไมเราต้องอยู่กับลุงพ่วงด้วยล่ะ ทำไมเราไม่หนี”
เปี๊ยกรีบหันมาเอามือปิดปากบุญทิ้ง ห้ามอย่างตกใจ
“เอ็งอย่าไปพูดให้ลุงพ่วงได้ยินนะไอ้บุญทิ้ง เอ็งตายแน่”
เปี๊ยกปล่อยมือ บุญทิ้งแหงนมองฟ้าเห็นไฟเครื่องบินไกลๆ
“ฉันอยากให้มีนางฟ้า เหาะลงมาช่วยพวกเราจังเลย ฉันอยากไปให้พ้นจากที่นี่”
เปี๊ยกมองตาม
“เฮ้อ...นางฟ้าที่ไหนวะไอ้บุญทิ้งมาทางเครื่องบิน รีบกินๆเข้าจะได้ไปนอนพรุ่งนี้ต้องไปหาเงินแต่เช้า ลุงพ่วงแกยิ่งคาดโทษเอ็งไว้อยู่”
บุญทิ้งคว้าชามมากินข้าวอย่างฝืดคอ

ปานฟ้ากลับจากต่างประเทศ หลังจากำเร็จการศึกษา เมื่อมาถึงบ้าน เธอรีบตรงไปที่ห้องของเติมบุญ เธอเข้าไปกราบพ่อที่นอนอยู่บนเตียง สายอุษามองอย่างดีใจ เติมบุญลูบหัวลูกสาว
“กลับมาเสียทีนะฟ้า ที่นี้พ่อก็คงหมดห่วงเรื่องงานเสียที”
“ทำไมไม่มีใครบอกฟ้าเลยว่า คุณพ่อไม่สบายมากขนาดนี้”
ปานฟ้าหันมาหาแม่ เติมบุญรีบบอก
“พ่อเป็นคนสั่งเองล่ะยัยฟ้า ไม่อยากให้ลูกกังวลจนไม่เป็นอันเรียน”
“อาการคุณพ่อทรงๆทรุดๆนะลูก ถ้าไม่มีเรื่องอะไรมารบกวนใจ ก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่คุณหมออยากให้คุณพ่อพักเยอะๆ” สายอุษาอธิบาย
เติมบุญหันมองลูกสาว
“แล้วทำไมไม่บอกล่วงหน้า มาคนเดียวมืดๆค่ำแบบนี้มันอันตรายนะลูก”
“ก็ฟ้าอยากจะมาเซอร์ไพรส์น่ะสิคะ...เอ้อแล้วพี่เดือนละคะเป็นยังไงบ้าง”
สายอุษากับเติมบุญหน้าเศร้า

ปานเดือนอยู่ในห้องนอน มองปานฟ้าเหม่อๆ ดวงตาเหมือนไม่รับรู้อะไรเลย อนิรุทธิ์กับสายอุษาคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ ปานฟ้ามองพี่สาวอย่างเศร้าสลด
“พี่เดือนเป็นมากขนาดนี้เชียวเหรอคะ”
“นี่ถือว่าดีขึ้นแล้วนะฟ้า ใหม่ๆมีอาละวาด กรีดร้อง บางทีดึกๆก็ลุกขึ้นมาร้องไห้ แต่หลังๆมานี่แค่ซึมๆเศร้าๆ” อนิรุทธิ์เล่า
“แล้วพาไปหาหมอต่อเนื่องหรือเปล่าคะ”
“แม่ให้จิตแพทย์มาดูแกทุกเดือน”
“หมอว่ายังไงบ้างคะ”
“ก็เป็นอาการทางจิตที่ไม่ยอมรับความจริง คุณเดือนจะเพ้อถึงทินภัทรอยู่เรื่อย หมอแนะนำให้พาไปไหนๆบ้างเพื่อผ่อนคลาย และอย่าพยายามพูดถึงเรื่องเก่าๆไม่อย่างนั้นจะไปกระตุ้นให้คุณเดือนคลั่งขึ้นมาได้”
ปานฟ้าจับมือพี่สาวไว้
“โธ่...พี่เดือน ฟ้ากลับมาแล้วนะคะ...ฟ้าจะต้องหาหลานให้เจอให้ได้”
ขณะเดียวกัน พิมแอบดูอยู่หน้าห้องอย่างตื่นเต้น รีบกลับไปบอกให้ปานดาวรู้
“อะไรนะ” ปานดาวย้อนถามอยางแปลกใจ
“พิมว่าคุณปานฟ้ากลับมาแล้วค่ะ แล้วยังบอกว่าจะตามหาทินภัทรให้เจอให้ได้”
ภูวดลหมั่นไส้
“กลับมาถึงก็ทำตัวเป็นนางเอกเชียว”
“ช่างมัน...ฉันก็อยากจะดูน้ำหน้ามันเหมือนกัน ว่าจะเก่งสักแค่ไหน ป่านนี้ไอ้ทินภัทรมันไปอยู่มุมไหนของโลกแล้วก็ไม่รู้”
ปานดาวเยาะหยัน

วันต่อมา...พ่วงวิ่งหน้าตื่น ตามด้วยบุญทิ้งและเด็กๆเร่ร่อนหลายคน ชนข้าวของในตลาดกระจาย ชนคนที่เดินจับจ่ายซื้อของ ผู้คนรวมทั้งพ่อค้าแม่ค้าร้องวี๊ดว้ายอย่างตกใจ
ภาคิน ตุลย์กับตำรวจลูกน้องอีกจำนวนหนึ่ง วิ่งตามกันมาหยุดมองหา พ่วงกับเด็กๆพากันวิ่งหลบไปคนละทาง ตุลย์ตะโกนบอกลูกน้อง
“กระจายกำลังกันจับให้ได้น่ะ”
ลูกน้องกระจายกำลังตามคำสั่ง แยกย้ายกันไป ตุลย์หันมาพยักหน้ากับภาคินพากันวิ่งไปอีกทาง
พ่วงวิ่งมาหลบที่ตรอกแคบๆ หายใจหอบๆ
“ไอ้ตำรวจบ้าเอ๊ย โจรขโมยเยอะแยะไม่ไปจับมาจับพวกข้าอยู่ได้”
บุญทิ้งวิ่งพรวดพราดเข้ามาเห็นพ่วงดีใจ
“ลุงพ่วงช่วยผมด้วย”
พ่วงฉุนกึก
“ไอ้บุญทิ้งไอ้เด็กเวร...เพราะพวกเอ็งทีเดียวทำมาหากินไม่เสือกดูตาม้าตาเรือ...นี่แหนะ”
พ่วงกระชากบุญทิ้งเข้ามาตีอย่างโมโห บุญทิ้งร้องลั่น
“โอ๊ย...ลุงพ่วง ผมเจ็บ...โอ๊ย”
ภาคินเข้ามากระชากตัวบุญทิ้งออกไป พ่วงตกใจตะลึงมองภาคิน ตุลย์กระโดดเข้ามาล็อคตัวพ่วงไว้ได้พ่วงโวยวายดิ้นหนี
“ปล่อยข้าสิ...ปล่อยสิโว้ย...ปั๊ดโธ่มาจับข้าทำไมเนี่ย”
ตุลย์มองอย่างหมั่นไส้
“ยังจะมีหน้ามาถาม แกลักพาลูกชาวบ้านเขามาเร่ร่อนขอทานแบบนี้ ติดคุกหัวโตแน่”
“จะบ้าเหรอคุณตำรวจ พวกมันเป็นลูกๆหลานๆข้าทั้งนั้น”
ตุลย์ไม่สนเอาตัวพ่วงเดินไป ภาคินก้มลงมองบุญทิ้งที่ร้องไห้สะอื้นอยู่
“ไม่ต้องกลัวนะ ฉันรับรองว่าเธอจะได้กลับไปเจอพ่อแม่แน่ๆ”
บุญทิ้งมองภาคินด้วยแววตาเศร้าๆ

ปานเดือนนั่งอยู่บนรถตู้สายตาเหม่อๆ อนิรุทธิ์ยืนอยู่ข้างรถพูดด้วยอย่างอ่อนโยน
“เดี๋ยวเราจะไปทำบุญกันนะครับ คุณเดือน”
ปานเดือนเฉย ขณะเดียวกันนั้นเสียงปานฟ้าดังเข้ามา
“รอฟ้านานหรือเปล่าคะ”
ปานฟ้าเดินมาอย่างสง่า ยิ้มแย้มมีแว่นกันแดดอันใหญ่คาดอยู่บนผม เธอเดินมาถึงรถ มองปานเดือนก่อนจะกระซิบถามอนิรุทธิ์
“พี่เดือนเป็นยังไงบ้างคะ”
อนิรุทธิ์กระซิบตอบ
“พี่ว่าวันนี้อาการดีกว่าทุกวันนะ”
ปานฟ้าพยักหน้าพูดเสียงดัง
“เราไปกันเถอะค่ะ”
ปานฟ้ากำลังจะก้าวขึ้นรถ ปานดาวเข้ามาพูดเยาะๆ
“แน่ใจแล้วเหรอที่จะเอาคนบ้าออกไปข้างนอกนะ เดี๋ยวก็ได้อาละวาดฟาดหัวฟาดหางจนชาวบ้านเขาแตกตื่นกันหมดหรอก”
ปานฟ้าชะงัก หันกลับมามองปานดาวอย่างไม่พอใจ
“ทำไมพี่ดาวพูดแบบนี้ล่ะคะ พี่เดือนแค่ไม่สบายไม่ได้บ้า”
“พี่ก็แค่หวังดี เห็นเธอเพิ่งกลับมาอาจจะยังไม่รู้อะไร แต่ถ้าเธออยากทำตัวเป็นนางเอกก็ตามใจ”
“ค่ะ...ฟ้าชอบเป็นนางเอก ไม่ชอบเป็นนางร้ายหรือนางอิจฉา”
ปานดาวมองปานฟ้าฉุนๆ
“เธอว่าใคร”
“เปล่านี่คะ...ฟ้าก็พูดไปเรื่อยๆไม่ได้เจาะจงว่าใคร แต่ถ้าใครจะร้อนตัวเพราะพฤติกรรมคล้ายพวกนางอิจฉาอันนี้ก็ช่วยไม่ได้”
ปานดาวโมโห จะพูดต่อก็ชะงักไป เมื่อพิมหน้าตื่นเข้ามาเรียก
“คุณปานดาวคะ”
ปานดาวตวาด
“อะไร”
“คุณภูให้มาตามค่ะ”
ปานดาวจะด่า พิมรีบเน้น
“ด่วนค่ะ”
พิมจ้องตาปานดาวแบบมีเลศนัย ปานดาวชะงัก หันไปมองปานฟ้าที่มองอยู่แบบไม่กลัว
แล้วสะบัดหน้าเดินเข้าไปในบ้าน พิมรีบวิ่งตามไปติดๆ ปานฟ้าถอนใจเฮือกใหญ่หันมาบอกอนิรุทธิ์
“ไปกันเถอะค่ะพี่รุทธิ์”
“ครับ...”
อนิรุทธิ์เบี่ยงตัวหลบให้ปานฟ้าขึ้นไปนั่งคู่กับปานเดือน แล้วขึ้นตามไป คนขับวิ่งมาปิดประตูแล้วอ้อมไปขึ้นรถ ขับออกไป

ปานดาว อ่านหนังสือพิมพ์ในมือที่มีรูปพ่วงที่ถูกจับ
“ตำรวจทลายแก๊งค์ขอทานรวบหัวหน้าใหญ่ได้ทันควัน”
ปานดาวเงยมองภูวดล ถามอย่างโมโห
“คุณให้นังพิมไปตามฉันมาอ่านข่าวบ้าๆเนี่ยน่ะ”
ปานดาวขว้างหนังสือพิมพ์ลงพื้นหงุดหงิด ภูวดลรีบบอก
“มันไม่ใช่แค่นั้นคุณดาว เห็นรูปไอ้ตัวหัวหน้ามั้ยนังพิมมันบอกว่าเป็นไอ้พ่วง”
ปานดาวตกใจหันไปมองพิม ที่กำลังเก็บหนังสือพิมพ์ขึ้นมากางออก ปานดาวกระชากมาดู
ใหม่ แล้วมองพิมถามเสียงเครียด
“แกแน่ใจเหรอ”
“ค่ะ...แหมทำไมพิมจะจำมันไม่ได้...พิมจำมันแม่นเลยค่ะ ก็พิมเอาไอ้ทินภัทรไปขายให้มันกับมือ”
ปานดาวกระชากพิมเข้ามากระซิบเสียงเข้ม
“นังพิม...แกจะพูดออกมาทำไม...”
ปานดาวเดินไปที่ประตู เปิดออกมองไปข้างนอกแล้วหันกลับมาปิดประตู น้ำเสียงร้อนใจ
“แล้วนี่ถ้ามันเกิดบอกตำรวจล่ะ”
“ใจเย็นๆไว้ก่อนน่ะคุณดาว” ภูวดลปราม
พิมคิดๆ
“จริงด้วยค่ะ...มันจะบอกทำไมในเมื่อไอ้ทิน...เอ๊ย...เด็กคนนั้นก็ไม่ได้อยู่กับมันแล้ว”
“แกรู้ได้ยังไง”
“พิมเคยเจอมันหลังจากคืนนั้น มันว่ามันขายเด็กไปแถวๆชายแดนแล้วค่ะ”
ปานดาวพยักหน้าโล่งใจ
“แต่ยังไงก็อย่าเพิ่งไว้ใจมัน แกไปที่โรงพักทำทีเป็นญาติไปเยี่ยม แล้วกำชับมันให้ดีให้มันหุบปากให้สนิทไม่อย่างนั้นมันตาย”
ปานดาวบอกด้วยน้ำเสียงเหี้ยมสุดๆ

ที่โรงพัก...พิมเดินเข้าไปอย่างลับๆล่อๆ มองไปทั่วๆ ตุลย์เดินมาเห็นทักอย่างใจดี
“อ้าว...มาเยี่ยมใครครับ”
พิมตกใจอึกอัก
“อ๋อ...เปล่าๆจ๊ะ ฉันมารอญาตินะ”
“มารอทำไมจะแจ้งความเรื่องอะไรเหรอ”
“คือ...อ๋อ...บัตร...บัตรประชาชนเขาหาย ว่าจะมาแจ้งความนัดกันไว้นะจ๊ะผู้กอง”
ตุลย์ขำ ชี้ดาวสองดวงบนบ่า
“ผมแค่ร้อยโทยังเป็นหมวดอยู่ครับ...ไม่ต้องเลื่อนยศให้หรอก งั้นก็เชิญนั่งรอก่อน”
“ขอบคุณจ้า”
ตุลย์เดินออกไปจากโรงพัก พิมมองหาพ่วงอย่างร้อนใจ

ที่มูลนิธิคุ้มครองเด็กเร่ร่อน...มีการจัดงานเพื่อเด็กๆ สิริโสภาซึ่งเป็นดาราดัง กำลังร่วมร้องเพลงกับเด็กๆหลายคนอยู่บนเวทีอย่างสนุกสนาน ตุลย์และเฟื่องแก้วยืนมองอยู่
“คุณสิริโสภาเธอเป็นกันเองกับเด็กๆมากเลยนะครับ”
เฟื่องแก้วยิ้มๆ
“ค่ะ...เธอจะมาทุกครั้งที่ว่าง ถ้าไม่มาเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆก็เอาหนังสือดีๆมาให้ เธอเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหา’ลัยของคุณภาคินนะคะ”
ตุลย์ทำหน้าทึ่งๆ
“เหรอครับ...เอ...แต่แปลกนะ ทำไมไม่เห็นมีนักข่าวมาทำข่าวเลย”
“ก็เพราะเธอไม่ได้สร้างภาพนะสิคะ เธอถึงไม่ได้ให้ข่าว ฉันคนหนึ่งล่ะที่ไม่ชอบเลยเวลาพวกดารา หรือคนดังที่จะมาเลี้ยงข้าวเด็กสักมื้อ ก็ต้องขนพวกสื่อมาถ่ายรูปทำข่าวกันเสียครึกโครม”
หน้าตาเฟื่องแก้วจริงจัง จนตุลย์มองแล้วอดหัวเราะไม่ได้
“ท่าทางคุณจะไม่ชอบเอาจริงๆเลยนะครับเนี่ย”
“ก็จริงนี่คะ...สร้างภาพชัดๆ”
ตุลย์ยิ้มๆแล้วมองไปที่เด็กๆด้านล่างที่นั่งตามโต๊ะยาว มีถาดหลุมอยู่ตรงหน้าบางคนก้มหน้าก้มตาทานอาหารที่สิริโสภานำมาเลี้ยง บางคนนั่งจ้องตาแป๋วไปบนเวที บรรยากาศครึกครื้นสนุกสนาน เฟื่องแก้วหันมามองตุลย์ แล้วเลยมองตามไปก่อนจะถาม
“หมวดมองหาใครคะ...อ๋อคงจะเป็นบุญทิ้ง”
“ครับ...ทำไมผมไม่เห็นบุญทิ้งเลยล่ะ”
“คุณภาคินเรียกไปพบนะค่ะ”
ตุลย์พยักหน้ารับรู้

ภาคินยืนหันหลังอยู่ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา...”
บุญทิ้งเปิดประตูเข้ามาแล้วยืนนิ่งมองตรงมาที่เขา ภาคินยิ้มให้ผายมือไปที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเขาน้ำเสียงอ่อนโยน
“นั่งสิบุญทิ้ง...”
บุญทิ้งเดินมานั่ง ภาคินเดินอ้อมโต๊ะทำงานมานั่งที่โต๊ะทำงานตรงหน้า มองลงมาที่บุญทิ้งเห็นก้มหน้านิ่ง น้ำตาไหลเป็นทางลงมาเงียบๆแล้วรีบปาดน้ำตาทิ้ง ภาคินถอนหายใจอย่างสงสาร
“ไม่ต้องห่วงนะบุญทิ้ง ถึงเธอจะไม่มีพ่อแม่มารับ เหมือนเด็กคนอื่นๆที่โดนจับมาด้วยกัน แต่เธอก็ยังอยู่ที่นี่ได้ จนกว่าเราจะพบพ่อแม่ของเธอ”
บุญทิ้งส่ายหน้า
“ผมคงไม่มีวันได้พบพ่อ กับแม่หรอกครับ”
ภาคินขมวดคิ้ว
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ...หมวดตุลย์กำลังตามหาพ่อแม่ให้เธออยู่”
“ลุงพ่วงบอกว่าผมไม่มีพ่อแม่ เพราะพ่อแม่เอาผมมาทิ้งไว้ที่กองขยะ ตั้งแต่ผมยังเล็กอยู่ ลุงพ่วงไม่ได้จับผมมา เหมือนเด็กคนอื่นๆ”
ภาคินอึ้งไป เขาตบบ่าเด็กชายเบาๆ เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นกระปรี้กระเปร่า
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็คิดเสียว่า ที่มูลนิธินี้เป็นบ้านของเธอก็แล้วกัน”
บุญทิ้งเงยหน้ามอง พร้อมกับยกมือไหว้
“ขอบคุณครับคุณภาคิน”
ภาคินหัวเราะเบาๆ
“เรียกฉันว่าพี่ก็ได้ คิดเสียว่าฉันเป็นพี่ชายของเธอคนหนึ่งก็แล้วกัน ตกลงมั้ย”
บุญทิ้งยิ้มออกมาได้
“ตกลงครับพี่ภาคิน”
ภาคินลุกขึ้นยืน พร้อมกับจับตัวบุญทิ้งให้ยืนขึ้นด้วยกัน
“เอาล่ะ...ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไปทานอาหาร แล้วก็ร่วมสนุกกับเพื่อนๆได้แล้ว”
ทันใดนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ภาคินหันไปมองเห็นเฟื่องแก้วเปิดเข้ามา
“คุณภาคินคะ...คุณสิริโสภาจะกลับแล้วค่ะ”

ภาคินพยักหน้ารับรู้
จบตอนที่ 1
อ่านดุจดาวดิน ตอนที่ 1/3
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์