หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

อ่านดุจดาวดิน ตอนที่ 2

อ่านดุจดาวดิน ตอนที่ 2
ภาคินกับสิริโสภา เดินคุยกันมาที่เบนซ์สปอร์ตคันหรู

“ขอบคุณมากนะโสภา ที่มาช่วยทำให้เด็กๆ สนุกและมีความสุข” ภาคินบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“จ้า...เปลี่ยนจากคำขอบคุณ เป็นไปดินเนอร์หรูๆกันสักมื้อดีกว่ามั้ง”
“ผมไม่มีเงินมากขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือละก็ ผมจะเลี้ยงคุณสักสิบชามเลยเป็นไง”
สิริโสภาแกล้งทำท่าจะเป็นลม
“เฮอะ...ดูพูดเข้า ยังกับคุณนะสิ้นไร้ไม้ตอกเสียเต็มประดา สมบัติพ่อคุณนะกินเข้าไปอีกสิบชาติก็ยังไม่หมดเลยมั้ง”

ภาคินหน้าเคร่งขึ้น
“คุณก็รู้ว่ามันไม่ใช่ของของผม อย่าพูดอีกเลยนะ”
สิริโสภาเข้ามาใกล้ๆ พูดด้วยอย่างจริงจัง
“ภาคิน...ฉันรู้ว่าคุณมีอุดมการณ์ที่แรงกล้า ถึงได้มาเป็นอาสาสมัครที่มูลนิธิเด็กเร่ร่อน แต่...”
“โสภา...”
ภาคินปรามเสียงจริงจัง โสภาชะงักหยุดพูดไปกะทันหัน แล้วยักไหล่
“โอเคไม่พูดก็ไม่พูด”
สิริโสภาเดินไปที่รถ หันกลับมาบอกก่อนจะเปิดประตู
“ถ้ามีอะไรจะให้ฉันช่วยก็บอกได้เลยนะ...”
ภาคินพยักหน้า
“ขับรถดีๆนะ”
“จ้ะ...บาย...”
สิริโสภาขึ้นรถ แล้วขับรถออกไป ภาคินหันหลังกลับเดินเข้าด้านใน

รถตู้ปานฟ้าขับสวนกับรถของสิริโสภา คนขับหันมาบอก...
“ข้างหน้านี่มีมูลนิธิเล็กๆ คุณปานฟ้าจะทำบุญที่นี่มั้ยครับ หรือจะให้ไปที่มูลนิธิอื่น”
ปานฟ้าชะเง้อมอง
“ที่นี่ก็ได้ ทำบุญกับมูลนิธิเล็กๆสิดี เขาคงต้องการความช่วยเหลือมากกว่า มูลนิธิที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว หรือพี่รุทธิ์ว่าไงคะ”
“พี่เห็นด้วยกับฟ้าจ๊ะ”
คนขับจอดลงหน้ามูลนิธิ แล้ววิ่งลงมาเลื่อนประตูให้ ปานฟ้าก้าวลงมาก่อน ถอดแว่นกันแดดอันใหญ่ออก มองเข้าไปที่ตึกของมูลนิธิ ยิ้มอย่างพอใจก่อนหันกลับไปที่รถ
“พี่รุทธิ์คะพาพี่เดือนลงมาเถอะคะ...”
อนิรุทธิ์ประคองปานเดือนลงจากรถ ปานเดือนมองรอบๆบริเวณอย่างเหม่อๆลอยๆ

ด้านใน...เฟื่องแก้ว กับตุลย์ช่วยเด็กๆเก็บข้าวของจากงานเลี้ยง
“หมวดไม่ต้องหรอกค่ะ เหนื่อยมาตั้งแต่เช้าแล้ว”
ตุลย์ยิ้มแย้ม
“ไม่เป็นไรครับช่วยกันจะได้เสร็จเร็วๆ”
สองคนชะงักเห็นปานฟ้า ปานดาว อนิรุทธิ์เดินเข้ามา เฟื่องแก้วรีบทักทาย
“สวัสดีค่ะ”
ปานฟ้ายิ้มรับ
“สวัสดีค่ะ...ฉันกับพี่สาวมาทำบุญนะคะ”
เฟื่องแก้วมองที่ทั้งสามคนไม่เห็นมีของอะไรมา ปานฟ้ารีบพูดต่อ
“คือฉันไม่ได้เตรียมของอะไรมาหรอกคะ แต่ตั้งใจจะมาบริจาคเป็นเงินคงไม่ขัดข้องใช่มั้ยคะ”
เฟื่องแก้วเข้าใจ
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องเชิญคุณทั้งสามคน ที่ห้องด้านในเลยค่ะ”
เฟื่องแก้วหันไปทางตุลย์
“หมวดคะ ฉันฝากทางนี้หน่อยนะคะ”
“เชิญตามสบายครับผม”
เฟื่องแก้วหันมาทางปานฟ้า
“เชิญทางนี้ค่ะ”
“ค่ะ...”
เฟื่องแก้วกำลังจะเดินนำทั้งสามคนไป บุญทิ้งถือกล่องกระดาษผ่านมาถามเฟื่องแก้ว
“พี่แก้วครับ กล่องนี้จะให้เอาไปเก็บที่ไหนครับ”
สายตาทั้งหมดหันไปมองที่บุญทิ้ง ปานเดือนจ้องบุญทิ้งตาไม่กะพริบแล้วก็เบิกตาโต ก่อนจะวิ่งพรวดพราดเข้าไปคว้าตัวบุญทิ้ง จนกล่องกระเด็นตกแล้วกอดไว้แน่น ร้องเสียงดังอย่างคนดีใจสุดขีด
“ทินภัทรลูกแม่...ในที่สุดแม่ก็เจอลูก โธ่ลูกจ๋าลูกอยู่ที่นี่เอง ทินภัทร...ทินภัทร แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน...”
ปานเดือดกอดบุญทิ้งพร่ำเพ้อแบบคนสติไม่ค่อยดี บุญทิ้งงงแต่ก็ยืนให้กอดนิ่งไม่ได้ขัดขืน เฟื่องแก้วตกใจ ในขณะที่อนิรุทธิ์เข้าไปพยายามแยกตัวปานเดือนออกมาแต่เธอไม่ยอม ปานฟ้าได้สติรีบขอโทษ
“ขอโทษนะคะเอ้อพี่สาวฉัน...คือลูกชายเธอหายไปนะคะก็เลยเข้าใจผิด คงคิดถึงลูก”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ปานฟ้ารีบเข้าไปช่วยอนิรุทธิ์ที่กำลังปลอบอยู่
“คุณเดือนปล่อยเถอะเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของเรานะ”
ปานเดือนไม่ปล่อย แต่หันมาตวาดอนิรุทธิ์อย่างโมโห
“คุณพูดอะไรน่ะ...เดือนไม่ปล่อย เดือนเจอลูกแล้ว ทินภัทรไปกับแม่นะลูกกลับบ้านเรานะ”
“พี่เดือนคะ...ปล่อยเด็กก่อนเถอะคะเชื่อฟ้านะคะ...นะคะพี่เดือน”
เฟื่องแก้วเข้ามาช่วยแยกด้วยจนดึงตัว บุญทิ้งออกได้ ปานฟ้ากับอนิรุทธิ์จับปานเดือนไว้คนละข้าง ในขณะที่ปานเดือนอาละวาดโวยวายไม่ยอม
“ไม่...เอาลูกฉันมา...อย่าเอาลูกฉันไปอีกเลย...เอาลูกฉันคืนมา”
อนิรุทธิ์กระซิบปานฟ้า
“พี่ว่ากลับก่อนดีมั้ยฟ้า...อาการคุณเดือนกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว”
ปานฟ้ารีบพยักหน้ากระซิบ
“ค่ะ...ก็ดีเหมือนกัน...” ปานฟ้ารีบหันไปบอกเฟื่องแก้ว “เอ้อฉันขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะคะเรื่องทำบุญไว้ฉันจะมาใหม่อีกทีค่ะ”
“ค่ะ...ไม่เป็นไรค่ะ”
ปานเดือนมองเฟื่องแก้ว กำลังจะพาบุญทิ้งเดินหนีไปเธอสะบัดแขนจากอนิรุทธิ์จนหลุด แล้วหันมาผลักปานฟ้าเต็มแรง วิ่งไปกอดบุญทิ้งไว้แน่น ปานฟ้าเสียหลักเซไปจะล้ม ภาคินเข้ามารับไว้ในอ้อมแขนได้ทัน สองคนมองกันอย่างตกใจจำกันได้

ตุลย์ เฟื่องแก้ว บุญทิ้ง ยืนมอง ภาคินที่กำลังยืนคุยกับปานฟ้าที่รถตู้ ตุลย์โยกหัวบุญทิ้งเบาๆ
“ตกใจหรือเปล่าบุญทิ้ง ไม่มีอะไรแล้วล่ะ”
บุญทิ้งมองที่รถตู้
“ไม่ครับ...”
เฟื่องแก้วทำท่าขนลุก
“น่ากลัวจัง...เห็นหน้าตาท่าทางก็ดี๊ดี ไม่น่าเป็นคนบ้าได้เลย”
“แต่ผมว่าคุณคนนั้น แกน่าสงสารออกนะครับพี่แก้ว” บุญทิ้งแย้ง
“จ้ะก็น่าสงสารอยู่หรอก แต่คงต้องออกห่างๆ นี่ไม่รู้ว่าอาละวาดทำร้ายคนด้วยหรือเปล่า ความจริงถ้ามีอาการทางประสาทแบบนี้ก็ไม่น่าจะพาออกมาเลยนะ...ไปเถอะไปช่วยกันเก็บของต่อดีกว่า”
เฟื่องแก้วหันหลังเดินเข้าไปด้านใน ตุลย์ตามไปด้วย บุญทิ้งหันหลังแล้วชะงักจ้องมองไปที่รถตู้แล้วก็ตัดใจหันกลับ
ภาคินยืนคุยอยู่กับปานฟ้า ขณะที่อนิรุทธ์โอบปลอบปานเดือน ที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนรถ
“ฉันต้องขอโทษจริงๆนะคะ ที่จะมาทำบุญแต่กลับกลายเป็นมาทำความวุ่นวายให้”
“ไม่เป็นไรครับ...มันเป็นเหตุสุดวิสัยไม่มีใครโทษคุณหรอกครับ เอ้อ...ผมขอให้พี่สาวของคุณหายเร็วๆนะครับ”
ปานฟ้าฝืนยิ้ม
“ขอบคุณค่ะ...ไว้โอกาสหน้าฉันจะมาใหม่นะคะ”
ปานฟ้ากำลังจะขึ้นรถ ภาคินโพล่งออกไป
“กิ๊บของคุณ...”
ปานฟ้าชะงักหันมาถามงงๆ
“คะ...”
“เอ้อ...คือกิ๊บที่คุณฝากผมไว้”
ปานฟ้านึกได้
“จะบอกว่าทำหายไปแล้วใช่มั้ยคะ...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“เปล่าครับ...ผมยังเก็บไว้ให้อย่างดี”
ปานฟ้าอึ้งหน้าแดง
“เหรอคะ...ถ้าอย่างนั้นวันหน้าฉันจะแวะมาเอาค่ะ”
ปานฟ้ารีบขึ้นรถไป ภาคินเดินมาปิดประตูให้ อนิรุทธิ์ก้มหัวและยิ้มให้ ภาคินก้มหัวและยิ้มตอบ เขายืนมองจนรถลับสายตาไป

เมื่อกลับไปถึงบ้าน...ปานฟ้ากับอนิรุทธิ์พยายามจะพาปานเดือนลงจากรถ แต่ปานเดือนไม่ยอมโวยวายคร่ำครวญเสียงดัง
“ไม่...ไม่ไป...ปล่อยสิปล่อย...”
“พี่เดือนขา ถึงบ้านแล้วลงมาก่อนเถอะนะคะ”
“ไม่ปล่อยพี่...พี่จะไปหาลูก...พี่คิดถึงลูก”
ปานเดือนหันไปเขย่าตัวอนิรุทธิ์อ้อนวอน
“คุณคะ...พาฉันไปหาลูกหน่อยเถอะคะ...ฉันขอร้อง...ฉันคิดถึงลูกนะคะคุณ...นะคะ”
“ตกลงครับคุณเดือน ผมจะพาคุณไปหาลูก ลูกเราอยู่ข้างในไงครับลงมาก่อนนะ”
ปานเดือนตื่นเต้น
“ลูกเราอยู่ข้างในเหรอคะ”
“ครับลงมาก่อนนะ”
ปานเดือนพยักหน้าอย่างว่าง่ายรีบลงจากรถ ปานฟ้าถอนใจโล่งอก สองคนพากันประคองปานเดือนเข้าบ้าน ขณะเดียวกัน ปานดาวยืนมองอยู่ที่หน้าต่างชั้นบนของตัวตึก แล้วเดินมานั่งที่โซฟาในห้อง หัวเราะสะใจ ภูวดลที่นอนดูโทรทัศน์ ละสายตาหันมาถามอย่างแปลกใจ
“ขำอะไรคุณดาว”
ปานดาวยิ้มเยาะ
“ขำนังบ้า มันอาละวาดอีกแล้วนะสิ”
ภูวดลสนใจ
“กลับกันมาแล้วเหรอ”
ปานดาวพยักหน้า หมั่นไส้
“ริจะทำตัวเป็นนางเอก มันได้ใจถือว่าคุณพ่อรักมันอะไรๆก็มัน กับนังเดือนไม่เคยเห็นหัวฉันเลย”
ภูวดลทำหน้าเศร้า
“คงเป็นเพราะคุณ มาได้ผู้ชายต่ำต้อยอย่างผมเป็นสามีล่ะมั้ง ถ้าจะโทษก็คงต้องโทษที่ผมไม่ดี”
ปานดาวตกใจรีบเข้ามากอดภูวดล
“อย่าพูดแบบนี้อีกนะคะภู มันไม่เกี่ยวกับคุณสักนิด”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ปานดาวหันไปตวาด
“ใคร...”
“พิมเองค่ะ”
ปานดาวรีบไปเปิดประตูแล้วถามทันที...
“เจอตัวมันมั้ย”
พิมพยักหน้า ภูวดลรีบถาม
“ใช่ไอ้พ่วงจริงๆหรือเปล่า”
“ใช่สิ...ไอ้พ่วงตัวเป็นๆเลยล่ะ”
พิมเล่าถึงเหตุการณ์ที่เธอไปที่โรงพัก เธอไปที่ห้องคุมขัง เห็นพ่วงยืนพิงลูกกรงเซ็งๆอยู่
“ไอ้พ่วง...”
พ่วงหันมามองอยู่นานแล้วนึกได้
“นังพิม”
พิมมองซ้าย ขวา เข้ามาติดลูกกรง
“เออฉันเอง”
“นี่แกมาเยี่ยมข้าเหรอ แหมไม่คิดเลยว่าคนอย่างแกจะมีน้ำใจ นี่ข้าอยากกินเหล้าจังว่ะไปซื้อใส่ถุงมาทีสิ...ใส่น้ำแข็งมาด้วยนะตำรวจมันจะได้นึกว่าเป็นน้ำอัดลม”
“ตำรวจบ้านพ่อแกนะสิจะได้โง่จนดูไม่ออก นี่ฉันมานี่ไม่ได้มาเยี่ยมแก แต่จะมากำชับแกเรื่องไอ้เด็กคนนั้น”
“เด็กไหนวะ”
“ก็เด็กที่ฉันเอาไปขายให้แกไง จำไว้นะห้ามแกปูดเรื่องนี้กับตำรวจเด็ดขาด”
พ่วงทำท่านักเลง
“แกจะทำไมข้านังพิม”
“ฉันนะไม่ทำไมแกหรอก แต่เจ้านายฉันนะเขามีเงินล้นฟ้า เขาอาจจะจ้างใครสักคนมาติดคุกข้างๆแกแล้วก็เชือดแกแบบนิ่มๆก็ได้ถ้าแกปากโป้ง”
พ่วงหน้าถอดสี
“นังพิม...แกขู่ข้าเหรอ”
“ไม่ได้ขู่แต่เอาจริง”
พิมจ้องพ่วงอย่างน่ากลัวจนพ่วงหงอ
เมื่อเล่าให้ปานดาว กับภูวดลฟัง พิมยืนยันแข็งขัน
“รับรองค่ะมันไม่กล้าปากโป้งแน่ๆ”
ปานดาวยิ้มพอใจ
“ดี...เออแล้วมันบอกหรือเปล่าว่า ตอนนี้ไอ้ทินภัทรมันอยู่ไหน”
“มันก็ว่าขายไปแถวชายแดน ตั้งนานแล้วค่ะ”
ปานดาวหันไปยิ้มกับภูวดลอย่างพอใจ
“ต่อให้น้องสาวคุณ พลิกแผ่นดินหาก็ไม่มีทางเจอ”
“ใช่...ธัญวิทย์ลูกเราเท่านั้นที่จะเป็นทายาทของอัครดำรงกุลเพียงคนเดียว”
ทั้งสามคนยิ้มอย่างพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ป้าแก้วกำลังตั้งโต๊ะอาหาร ธัญวิทย์เดินเข้ามาเกาะโต๊ะมองเซ็งๆ
“ข้าวต้มอีกแล้ว...นี่แก...ไม่มีอะไรกินดีกว่านี้แล้วเหรอ”
ป้าแก้วอึ้ง ก่อนจะหันมาตอบอย่างเกรงใจ
“ก็คุณท่านไม่ค่อยสบาย คุณปานเดือนก็ทานได้แต่ของอ่อนๆ คุณผู้หญิงก็เลยให้ป้าทำข้าวต้มนะคะ”
ธัญวิทย์กระชากเก้าอี้อย่างแรง กระแทกตัวนั่งลง
“คนนั่นก็เจ็บ คนนี้ก็ป่วย ทำไมไม่ตายๆกันไปเสียเลยล่ะ”
ป้าแก้วยกมือทาบอกตกใจ
“ตายจริงคุณหนู...ทำไมพูดอย่างนั้นละคะคนป่วยนะไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคุณตากับคุณน้าของคุณหนูเองนะคะ ทีหลังคุณหนูอย่าพูดแบบนี้อีกนะคะ”
พิมเข้ามาตะคอกป้าแก้วเสียงดัง
“สะเออะ...เป็นแค่คนใช้ เจ๋ออะไรมาสั่งสอนคุณธัญวิทย์”
พิมหันไปทางธัญวิทย์พูดประจบ
“คุณธัญวิทย์อย่าไปฟังนะคะ คุณมีสิทธิ์ที่จะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
ปานฟ้าเข้ามาก่อน
“แล้วเธอมีสิทธิ์อะไรที่มาสั่งสอนหลานชายฉัน ให้เป็นเด็กนิสัยไม่ดีพูดจาก้าวร้าวผู้ใหญ่แบบนี้”
พิมชะงัก ธัญวิทย์หน้าจ๋อย ปานฟ้ามองอย่างไม่พอใจมาก พิมเคืองแต่ข่มอารมณ์เพราะรู้ว่าปานฟ้าเอาจริง

ปานฟ้าเดินมาที่รถ มีพิมตามมาอย่างไม่สบอารมณ์ ปานฟ้าหยุดแล้วหันไปมองเสียงเรียบแต่เอาเรื่อง
“ฉันหวังว่าจะไม่ได้ยินเธอ สอนหลานฉันในทางที่ผิดๆอีกนะพิม”
พิมไม่พอใจแต่จำใจรับคำ
“ค่ะ...”
ปานฟ้าจะขึ้นรถแล้วนึกได้หันไปพูดต่อ
“อ๋อ...แล้วป้าแก้วน่ะแกเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ อยู่มาตั้งแต่เธอยังไม่เกิดด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นจะพูดจะจาอะไรก็ขอให้เกรงใจแกหน่อย ถ้ายังอยากจะอยู่ด้วยกันต่อไป”
ปานฟ้าขึ้นรถขับออกไป พิมมองตามอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ

เย็นนั้น...บุญทิ้งใช้ไม้ม็อบถูพื้นทางเดินอย่างใจลอย แล้วชะงักครุ่นคิด นึกถึงตอนที่ปานเดือนจ้องเขาตาไม่กะพริบ แล้วก็เบิกตาโตก่อนจะวิ่งพรวดพราด เข้าไปคว้าตัวเขาจนกล่องกระเด็นตกแล้วกอดแน่น ร้องเสียงดังอย่างคนดีใจสุดขีด
“ทินภัทรลูกแม่...ในที่สุดแม่ก็เจอลูก โธ่ลูกจ๋าลูกอยู่ที่นี่เอง ทินภัทร...ทินภัทร แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน”
บุญทิ้งเผลอยิ้มอย่างสุขใจ แล้วต้องสะดุ้งเมื่อมือภาคินเข้ามาจับที่บ่า ภาคินมองขำๆ
“เอ้า...เป็นอะไรไปนะบุญทิ้ง ยืนยิ้มคนเดียว”
บุญทิ้งอาย
“เปล่าครับ...คุณเอ๊ย...พี่ภาคินยังไม่กลับอีกเหรอครับ”
“เดี๋ยวก็จะกลับแล้วล่ะ ขอเคลียร์งานให้เสร็จก่อน”
ภาคินเดินตรงไปที่ห้อง บุญทิ้งถูพื้นต่อ แต่แล้วก็หยุดยิ้มอย่างสุขใจอีกครั้ง

ภาคินเปิดห้องทำงานเข้ามา แล้วชะงักเมื่อเห็นเฟื่องแก้ว กำลังเช็ดทำความสะอาดโต๊ะทำงานอยู่
“ผมบอกกี่ครั้งแล้วแก้ว ว่าไม่ต้องมาทำความสะอาดโต๊ะให้ผม ผมจัดการเองได้ ลำพังงานของคุณก็เยอะแยะอยู่แล้ว”
เฟื่องแก้วหันมายิ้มหวาน
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แก้วเต็มใจทำเพื่อคุณภาคิน”
ภาคินชะงักแล้วทำเหมือนไม่ได้ยิน เดินมาที่โต๊ะ เฟื่องแก้วพูดต่อ
“ความจริงวันนี้น่าเสียดายจังนะคะ”
“เสียดายอะไร”
“ก็เสียดายที่ผู้หญิงคนนั้น สติแตกขึ้นมาเสียก่อนนะสิคะ ไม่อย่างนั้นน้องสาวเขาคงจะบริจาคให้มูลนิธิเราเยอะอยู่เหมือนกัน ดูท่าทางจะเป็นคนรวยไม่ใช่เล่น”
ภาคินนิ่งคิด แล้วก็ก้มหน้าสนใจงานตรงหน้า เฟื่องแก้วเลยจำใจถอยออกไปเงียบๆภาคินหยุดทำงาน
เงยหน้าขึ้น เผลอยิ้มแล้วรีบสะบัดหัวราวกับจะไล่ความคิดออกไป ลงมือทำงานต่ออย่างเคร่งเครียด

ค่ำนั้น...ตึกห้างสรรพสินค้าเปิดไฟสว่างไสว ปานฟ้ายังอยู่ในห้องทำงาน เลขามองอย่างชื่นชม
“คุณปานฟ้า ขยันจังนะคะ มาถึงยังไม่ทันพักก็มาทำงานเลย”
“สงสารพี่รุทธิ์นะสิ รับภาระหนักมานาน ว่าแต่ตอนนี้ที่ห้างเรามีกิจกรรมอะไรพิเศษบ้างจ๊ะ”
“ที่กำลังจัดอยู่ก็งานแสดงสินค้าสี่ภาคค่ะ แล้วอาทิตย์จะมีการประกวดวาดภาพระบายสี เพื่อส่งเสริมให้เด็กๆใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์”
“ฮึ่ม...ความคิดพี่รุทธิ์ดีจังนะ”
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ปานฟ้าหันไปยังไม่ทันพูดอนุญาต ก็เห็นก้องภพเปิดประตูโผล่แต่หน้าเข้ามา
“เซอร์ไพรส์ครับฟ้า”
ปานฟ้างงๆ
“รู้ได้ไงคะเนี่ยว่าฉันกลับมาแล้ว” ปานฟ้าหันไปบอกเลขา “ออกไปก่อนนะจ๊ะ”
“ค่ะ...”
เลขาเดินออกไป ก้องภพเข้ามามือไขว้หลังไว้ ปานฟ้าเคลียร์เอกสารบนโต๊ะอยู่ชะงักเห็นช่อดอกกุหลาบขาวช่อใหญ่มากยื่นมาตรงหน้า
“ขอต้อนรับการกลับมาเมืองไทยครับ”
ปานฟ้ายิ้มรับไว้
“ขอบคุณค่ะ”

ปานฟ้าเดินดูในห้างฯอย่างสนใจก้องภพเดินตามพูดออดอ้อน
“น่านะไปดินเนอร์กันนะฟ้า ผมมีอะไรจะเซอร์ไพรส์ฟ้า”
“เนื่องในโอกาสอะไรคะ”
“ก็ต้อนรับที่ฟ้ากลับมาไง”
“เมื่อกี้ก็ให้ดอกไม้แล้วนี่คะพอแล้วล่ะ”
“ถ้าฟ้าปฏิเสธผมเสียใจนะ”
ปานฟ้ายิ้มอ่อนใจแบบคงขัดไม่ได้ ก้องภพยิ้มพอใจ

สองคนเดินมาที่ลานจอดรถ ปานฟ้าเดินไปที่รถ
“อย่าขับเร็วนะคะเดี๋ยวฉันตามไม่ทัน”
“วันนี้ผมไม่ได้เอารถมา”
“รถเสียเหรอคะ”
“ไม่ได้เสียหรอกครับ แต่ผมว่านั่งไปด้วยกันจะดีกว่า ขับตามกันไปไม่เห็นโรแมนติกเลย”
ปานฟ้าจะเปิดรถชะงัก
“จริงสิ...คุณยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าคุณรู้ได้ไง”
“แม่ผมโทรไปหาคุณแม่ฟ้านะสิ ถึงได้รู้เรื่อง พูดแล้วก็น้อยใจที่จริง ผมน่าจะรู้เป็นคนแรกด้วยซ้ำ ผมคิดถึงฟ้ามากรู้มั้ย”
ก้องภพยื่นหน้าเข้ามาเกือบชนแก้ม ปานฟ้าหลบวูบ เสียงแข็งขึ้น
“ทีหลังอย่าเล่นแบบนี้นะคะ...ฉันไม่ชอบ”
ก้องภพจ๋อย ทำเสียงอ้อน
“ขอโทษครับฟ้า”
ปานฟ้าขึ้นรถด้านคนขับ ก้องภพมองอย่างพอใจ พึมพำเบาๆ
“ยากๆแบบนี้สิท้าทายดีนัก”

ที่ร้านอาหารหรู...พนักงานนำก้องภพกับปานฟ้า มาที่โต๊ะริมกระจกเห็นวิวทิวทัศน์กรุงเทพยามค่ำคืนสวยงามมาก ปานฟ้านั่งลง พนักงานโค้งก่อนจะจุดเชิงเทียนบนโต๊ะแล้วถอยออกไป ปานฟ้ามองโต๊ะรอบๆไม่มีใครสักโต๊ะ
“ทำไมไม่มีคนเลยคะ”
ก้องภพยิ้มทำท่าลับลมคมใน ปานฟ้ารู้ทัน
“อย่าบอกนะคะว่าคุณจองทั้งชั้นนี่”
ก้องภพยิ้มเท่
“ใช่แล้วครับ”
ปานฟ้าไม่ยินดี
“เนี่ยนะเหรอคะเซอร์ไพรส์ของคุณ”
ก้องภพพยักหน้าอย่างคิดว่าเท่สุดๆ ปานฟ้าถอนใจ พิงพนักเก้าอี้กอดอกแล้วมองก้องภพ เหมือนมองเด็กที่ไม่รู้จักโต
“ถ้าคุณเอาเงินตั้งหลายหมื่น ที่จ่ายไปคืนนี้ไปทำบุญ ฉันว่ามันยังจะทำให้ฉันเซอร์ไพรส์ได้มากกว่าที่คุณจะทิ้งเงินไปโดยเปล่าประโยชน์แบบนี้”
ก้องภพชักเซ็งแต่พยายามฝืน
“โธ่...ฟ้าก็...เพิ่งจะเจอกันอย่าซีเรียสเลยน่า โอเค...สำหรับคนอื่นมันอาจจะเยอะแต่สำหรับเราขนหน้าแข้งไม่ร่วงสักหน่อย”
ปานฟ้าถอนใจ
“ไม่ใช่เราค่ะ...คุณคนเดียว ถึงฉันจะมีเงินแต่มันก็เป็นเงินของพ่อฉัน กว่าท่านจะมีวันนี้ได้คุณรู้มั้ยว่าท่านต้องลำบากแค่ไหน”
ก้องภพเหลือกตาไปมาแบบอ่อนใจสุดๆ ที่ทุกอย่างพลิกความคาดหมายไปหมด พนักงานลำเลียงอาหารเข้ามาวาง ปานฟ้าข่มความไม่พอใจ หันหน้ามองออกไปที่ทิวทัศน์ด้านนอก ก้องภพก็เซ็งแต่พยายามเอาอกเอาใจปานฟ้าตักโน่นนี่ให้อย่างน่ารำคาญ ปานฟ้าฝืนกินไปตามมารยาท

หลังจากทานอาหาร ปานฟ้าขับรถมาจอดหน้าบ้าน ก้องภพคะยั้นคะยอ
“ไม่ลงไปหน่อยเหรอครับ”
ปานฟ้าฝืนยิ้ม
“ไม่ล่ะคะ...ดึกแล้ว”
ก้องภพตื้อ
“แม่คงดีใจมากถ้าเจอคุณ”
“ช่วยเรียนท่านด้วยว่า...ฉันจะมากราบท่านวันหลัง”
ก้องภพผิดหวัง
“แล้วแต่ฟ้าแล้วกัน กู๊ดไน้ต์นะครับ”
“ค่ะ กู๊ดไน้ต์ค่ะ”
ก้องภพจำใจลงจากรถโบกมือให้ ปานฟ้ารีบกลับรถขับออกไป ก้องภพมองตามเตะวืดไปในอากาศอย่างหงุดหงิดใจ

รถปานฟ้าขับมาเรื่อยๆ จู่ๆมีมอเตอร์ไซค์ขับมาประกบแล้วตัดหน้ารถกะทันหัน ปานฟ้ารีบเบรกอย่างตกใจ
“โอ๊ย...บ้าจังขับรถประสาอะไรเนี่ย”
ปานฟ้าเห็นรถมอเตอร์ไซค์ล้มลงก็ตกใจ
“แย่แล้ว...”
ปานฟ้ารีบเปิดประตูลงไป แต่แล้วปานฟ้าก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อชายสองคนลุกขึ้นเหมือนไม่เป็นอะไร แล้ววิ่งเข้ามาจับแขนเธอ ปานฟ้าตะลึง
“อะไรกันเนี่ย...พวกแกจะทำอะไร”
ชายคนหนึ่งชักมีดออกมา
“หุบปากไม่ต้องถาม ขึ้นไปขับรถ”
มันหันไปบอกเพื่อน
“แกขับมอไซค์ตามมา ข้าจะประกบนังคนสวยนี่ไปเอง”
ปานฟ้าตะโกนเสียงดัง
“ช่วยด้วย...อุ๊บ...”
ชายคนนั้นชกเข้าที่ท้องเธอเต็มแรง ปานฟ้าตัวงอ
“โอ๊ย...”
“พูดด้วยดีๆไม่ชอบ ชอบเจ็บตัว...”
แล้วเพื่อนของมันก็ร้องขึ้นอย่างตกใจ
“เฮ้ยมีคนมา”
ปานฟ้าข่มความเจ็บหันไปมอง เห็นภาคินเดินตรงมาเรื่อยๆ ชายคนนั้นผลักปานฟ้าเข้ารถขู่เสียงน่า
“อย่าแหกปากนะไม่งั้นข้ากระซวกแน่”
ปานฟ้าเข้าไปนั่ง ชายคนั้นทำทียืนคุยกับเพื่อน ภาคินเดินมาถึงหันมามองชายสองคนอย่างแปลกใจและก็ตกใจเมื่อเห็นปานฟ้าที่ข่มความเจ็บตะโกนลั่น
“ช่วยด้วย”
ชายสองคนตกใจ ภาคินถลาเข้าไป
“พวกแกจะทำอะไร”
ชายคนหนึ่ง ชูมีดขู่ ภาคินชะงัก
“อยากแส่นักใช่มั้ย เฮ้ยจัดให้มันหน่อย”
เพื่อนมันพุ่งเข้าใส่ ภาคินหลบสองคนสู้กันชุลมุน ภาคินเอาชนะได้ เขาหันมาที่ชายอีกคนสองคนสู้กัน
มันจ้วงแทงแต่เขาหลบได้ หวุดหวิดจะโดน แต่ในที่สุดเขาก็พลาดโดนมีดแทงเข้าที่แขน
ภาคินล้มลง ชายคนนั้นพุ่งคร่อมเงื้อมือจะจ้วงแทงซ้ำ ปานฟ้ากดแตรรถดังลั่น มันตกใจผละจากภาคิน รีบกระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์ เพื่อนกระโดดตาม แล้วขับหนีไปในความมืด ปานฟ้าวิ่งโซเซมาประคองภาคิน

“คุณภาคิน...คุณเป็นยังไงบ้าง” ปานฟ้าเห็นแผลที่แขนเขาก็ตกใจมาก “คุณโดนแทง!”
อ่านดุจดาวดิน ตอนที่ 2
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์