หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

อ่านดุจดาวดิน ตอนที่ 2/2

อ่านดุจดาวดิน ตอนที่ 2/2
ค่ำนั้น...ปานฟ้าใส่ยาที่แผลให้ภาคินอยู่ที่เก้าอี้ยาว ใต้ต้นไม้ในมูลนิธิ ภาคินร้องเบาๆ

“อ๊อย...”
ปานฟ้าชะงัก
“เจ็บเหรอคะ...”
“ครับ...มือคุณหนักจัง เบาหน่อยก็ได้ครับ”
ปานฟ้าทำหน้าหมั่นไส้
“ก็อยากไม่ยอมไปหาหมอนี่คะ...ฉันเองก็ไม่เคยทำแผลให้ใคร นี่ถ้าไปให้หมอทำให้ก็คงไม่เจ็บอย่างนี้หรอกค่ะ”

“ผมไม่อยากให้คุณเป็นข่าวนะสิครับ ผู้หญิงขึ้นหน้าหนึ่งมันไม่ค่อยดีเท่าไร”
ปานฟ้าชะงักแล้วยิ้มอ่อนหวาน
“ขอบคุณนะคะ คุณภาคินที่คิดถึงชื่อเสียงฉัน...ฉันก็ลืมไปเสียสนิท”
ขณะเดียวกันนั้น มีเสียงกุกกักดังมาภาคินหันไปถามดุๆ
“นั่นใคร...”
บุญทิ้งค่อยๆเดินออกมา ภาคินมองอย่างประหลาดใจ
“บุญทิ้ง...ดึกแล้วทำไมยังไม่นอนอีก”
บุญทิ้งหน้าจ๋อยๆกลัวโดนดุ

ปานเดือนนั่งอยู่ริมหน้าต่างหน้าตาเศร้า ผมเผ้ายุ่งเหยิง พูดทั้งๆที่มองออกไปนอกหน้าต่าง
“ฉันนอนไม่หลับ...”
อนิรุทธิ์ตวัดผ้าห่มออก ลุกจากเตียงเดินมาคุกเข่าตรงหน้าปานเดือน
“ถ้าอย่างนั้นทานยาหน่อยนะ คุณจะได้หลับสบาย”
ปานเดือนส่ายหน้า น้ำตาไหลรินลงมา
“ฉันเป็นแม่ที่แย่มากใช่มั้ยคะ...ฉันดูแลลูกไม่ได้ ฉันไม่ได้เรื่อง ฉันไม่ควรเป็นแม่คนเลย”
ปานเดือนร้องไห้สะอื้น อนิรุทธิ์ลุกขึ้นโอบกอดเธอไว้
“ไม่คุณเดือน...คุณอย่าโทษตัวเองแบบนี้เลย มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลย ทำใจดีๆไว้น่ะผมสัญญา ผมจะต้องตามหาลูกทินภัทรให้เจอให้ได้”
ปานเดือนเงยหน้ามองอนิรุทธิ์ ถามทั้งน้ำตา
“ป่านนี้ลูกจะไปตกระกำลำบากอยู่ที่ไหนคะ ฉันคิดถึงลูกเหลือเกิน”
สองคนกอดกันอย่างรันทดใจ

ภาคินมองบุญทิ้งพูดอย่างเอ็นดู
“ตัวแค่นี้รู้จักนอนไม่หลับกับเขาด้วย”
บุญทิ้งท่าทางเจียมตัว
“ที่จริงผมหลับไปแล้วครับ แต่ตกใจตื่นขึ้นมาอีก จะปลุกพี่แก้วก็ไม่กล้า พอดีได้ยินเสียงเหมือนคนคุยกัน ผมก็เลยเดินออกมาดู”
ปานฟ้ารีบถาม
“ฝันร้ายเหรอจ๊ะบุญทิ้ง”
บุญทิ้งคิดก่อนจะตอบ
“สำหรับผมมันเป็นฝันดีมากเลยครับ”
ภาคินขำๆ
“ไหนเล่าให้ฟังบ้างได้มั้ย”
“คือผมฝันถึงตอนที่โดนเอ้อ...” บุญทิ้งมองปานฟ้าอย่างเกรงใจก่อนจะพูดต่อ “พี่สาวของคุณปานฟ้า”
ปานฟ้ารีบขัด
“เรียกฉันว่าพี่ฟ้าก็ได้จ้ะ...บุญทิ้งฝันเห็นพี่เดือนพี่สาวฉันเหรอ”
“ครับผมฝันเห็นคุณเดือนตอนวิ่งเข้ากอด แล้วก็บอกว่าผมเป็นลูกครับ”
“โธ่...คงยังตกใจไม่หายจนเก็บเอาไปฝัน นี่บุญทิ้งฉันขอโทษแทนพี่เดือนด้วยนะจ๊ะ”
ภาคินมองหน้า
“แล้วทำไมบุญทิ้ง ถึงบอกว่าเป็นฝันดีล่ะ”
บุญทิ้งตอบเสียงเครือๆ
“ก็เพราะไม่เคยมีใครกอดผมอย่างที่...คุณเดือนกอดเลยครับ มันทำให้ผมคิดถึงแม่ ผมอยากให้แม่กอดผมอย่างนี้บ้างจัง...ผม...”
บุญทิ้งหยุดไป ทำท่าจะร้องไห้ ภาคินอึ้งมองด้วยสายตาเศร้ารำพึงในใจ
‘ฉันเข้าใจความรู้สึกเธอดีบุญทิ้ง’
ปานฟ้าไม่ทันสังเกต เพราะมัวแต่มองบุญทิ้งด้วยความสงสาร

ภาคินเดินมาส่งปานฟ้าที่รถ เมื่อเธอจะกลับ...
“สงสารบุญทิ้งจังนะคะ”
“ครับ...บุญทิ้งเป็นเด็กดี ไม่น่าต้องมาอยู่แบบนี้”
ปานฟ้าหยุดเดิน
“บุญทิ้งอยู่ที่นี่นานแล้วเหรอคะ”
“บุญทิ้งเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้อาทิตย์เดียวเองครับ”
“แล้วก่อนหน้านี้บุญทิ้งอยู่ที่ไหนคะ”
“บุญทิ้งเป็นเด็กเร่ร่อน ถูกบังคับให้ทำงานหาเงินอยู่ในแก็งค์ขอทานนะครับ”
ปานฟ้ากับภาคินพากันเดินมาถึงรถพอดี
“คุณภาคินทำงานเกี่ยวกับเด็กเร่ร่อนแบบนี้ คุณคงมีข้อมูลเกี่ยวกับเด็กๆ ที่ถูกลักพาตัวมาสิคะ”
“ครับ...”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันอยากจะขอความช่วยเหลือหน่อยได้มั้ยคะ”
“ด้วยความยินดีครับ...ว่าแต่คุณจะให้ผมช่วยเรื่องอะไร”
“ไว้พรุ่งนี้แล้วกันค่ะ...ฉันจะมาคุยรายละเอียดให้ฟัง ว่าแต่คืนนี้คุณจะค้างที่นี่เหรอคะ”
ภาคินขรึมไป
“ครับ...ดึกมากแล้วผมเกรงใจที่บ้าน”
ปานฟ้ามองภาคินอย่างเข้าใจ
“ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนนะค่ะ”
“ขับรถดีๆนะครับ ระวังตัวด้วย”
“ขอบคุณมากนะคะ...สำหรับเรื่องวันนี้”
ปานฟ้าขึ้นรถ หันมายิ้มให้อีกทีก่อนจะขับรถออกไป ภาคินยืนมองตาม ยิ้มอย่างมีความสุข

เช้าวันใหม่...ปานฟ้าลงบันไดมาอย่างรีบร้อน สายอุษาเดินเข้าด้านหนึ่งทักอย่างอ่อนโยน
“อ้าวยัยฟ้าจะรีบไปไหนลูก”
“จะรีบไปทำงานค่ะ”
“กินข้าวเช้าก่อนสิจ๊ะ”
“ไม่ล่ะคะ...ฟ้ารีบ คุณพ่อล่ะคะ”
“ก็เหมือนเดิมละลูก...แต่ไม่ต้องห่วงนะโรคหัวใจก็แบบนี้ล่ะ ตั้งแต่ทินภัทรหายไปคุณพ่อก็สามวันดีสี่วันหาย...ว่าแต่หนูมีปัญหาอะไรเรื่องงานหรือเปล่าจ๊ะ”
“ไม่ใช่เรื่องงานค่ะแต่เป็นเรื่องทินภัทร”
สายอุษาตื่นเต้น
“ทำไม...หรือลูกได้ข่าวอะไร”
“ยังค่ะ...แต่คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ ยังไงฟ้าก็ต้องตามหลานกลับมาให้ได้”
ปานฟ้าหอมแก้มแม่ก่อนออกไป สายอุษามองตามอย่างมีความหวัง พิมแอบมองอยู่มุมหนึ่งชักเป็นกังวล

พิมรีบนำข้อมูลที่เธอแอบฟัง มาบอกกับปานดาวกับภูวดล
“ไม่มีทาง...ต่อให้มันพลิกแผ่นดินหา ก็ไม่มีทางเจอไอ้ทินภัทร” ปานดาวตวาดบอก
“แต่ท่าทางคุณปานฟ้า เธอเอาจริงเอาจังมากนะคะ”
ภูวดลหัวเราะเยาะ
“สาวสมัยใหม่ก็ดูไฟแรงแบบนี้ล่ะ...อีกไม่นานก็มอด ขนาดพ่อแม่มันยังถอดใจเลย”
พิมพยักหน้าเบาใจ หัวเราะออกมาได้
“นั่นสิ...สุดท้ายสมบัติ ก็ต้องตกเป็นของธัญวิทย์คนเดียวเท่านั้น”
ปานดาวหันขวับตวาดเสียงดัง
“คุณธัญวิทย์...”
พิมจ๋อยไป ปานดาวสำทับเสียงจริงจัง
“จำไว้นะนังพิม...อย่าได้ทำเป็นลืมตัวมาตีเสมอลูกชายของฉัน...ธัญวิทย์เป็นลูกชายของฉันกับคุณภูจำไว้ให้ขึ้นใจ แล้วแกก็จะสบายไปตลอดชาติ”
พิมก้มหน้ารับคำเหมือนเกรงมาก
“ค่ะคุณดาว”
ปานดาวเดินเชิดผ่านพิมไป พิมมองตามแค้นแต่พอสบตาภูวดลที่มองปรามมา พิมข่มใจสะบัดหน้าเดินไปอีกทาง ภูวดลลอบถอนใจโล่งอก

ปานดาวพยายามกล่อมธัญวิทย์ ให้ลุกจากที่นอน
“ไม่เอานะลูก...อาทิตย์นี้หยุดเรียนไปตั้งสามวันแล้วนะ”
ธัญวิทย์คว้าผ้าห่มคลุมโปง
“ก็ผมไม่ชอบเรียนหนังสือนี่แม่ก็”
ปานดาวดึงผ้าห่มออก ธัญวิทย์รีบเอามือปิดหู ปานดาวส่ายหน้ายิ้มอ่อนใจค่อยๆดึงมือลูกชายออก
“เอาอย่างนี้นะ ถ้าลูกยอมไปโรงเรียนแม่จะขึ้นค่าขนมให้”
ธัญวิทย์นิ่งคิด ปานดาวชูสองนิ้ว ธัญวิทย์ส่ายหน้า ชูสี่นิ้ว ปานดาวขำชูสามนิ้ว พูดขึงขัง
“สามร้อยบาทขาดตัว...ถ้าไม่เอาก็ตามใจ”
ปานดาวทำท่าจะลุก ธัญวิทย์รีบกระโดดกอด
“ก็ได้ฮ่ะแม่...สามร้อยก็สามร้อย แต่เทอมหน้าแม่ต้องขึ้นเป็นห้าร้อยนะ”
ปานดาวหัวเราะ เอ็นดูลูกชายมาก
“จ้า...ตัวแค่เนี่ยใช้เงินเก่งจังนะ”
“ก็เรารวยนี่ฮะแม่...แม่เป็นคนบอกผมเองว่าสมบัติคุณตาน่ะ ใช้อีกสิบชาติก็ไม่หมด”
ปานดาวหันมากอดธัญวิทย์
“รู้อย่างนี้แล้ว ลูกก็ต้องหมั่นคอยเข้าไปประจบคุณตาบ่อยๆสิ ลูกรู้มั้ย...”
ธัญวิทย์พยักหน้าเข้าใจ
“ฮ่ะแม่...”
ปานดาวหอมแก้มธัญวิทย์อย่างชื่นใจ

ขณะที่เด็กๆในมูลนิธิกำลังเรียนหนังสือ เฟื่องแก้วเดินดูแต่ละคนจนมาถึงบุญทิ้ง
“ไงบุญทิ้ง ทันเพื่อนๆคนอื่นมั้ย”
บุญทิ้งพยักหน้า
“ทันครับพี่แก้ว”
เฟื่องแก้วมองอย่างทึ่งๆ
“เคยเรียนหนังสือกับเขาด้วยเหรอ”
“ไม่ได้เรียนหรอกครับ แต่ผมชอบอ่านหนังสือพิมพ์ที่ลุงพ่วงแกซื้อมา คำไหนอ่านไม่ได้ก็ถามพี่ๆที่อยู่ด้วยกัน พวกเขาเคยเรียนมาก็พอสอนผมได้นะครับ”
ภาคินเดินผ่านมาได้ยินพอดี
“ฮึ่ม...ไม่เลวนี่บุญทิ้ง แบบนี้ปีหน้าพี่จะส่งให้เธอเข้าเรียนพร้อมเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน”
บุญทิ้งดีใจมาก
“จริงๆเหรอครับ...ผมจะได้เรียนหนังสือเหรอครับ”
ภาคินเข้ามาลูบหัว
“จริงสิ...ความรู้เป็นสิ่งสำคัญมาก เคยได้ยินมั้ยรู้อะไรก็ไม่สู้รู้วิชา”
บุญทิ้งต่อเสียงแจ๋ว
“รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี”
ภาคินกับเฟื่องแก้วมองหน้ากัน แล้วหัวเราะชอบใจ
“เก่งมากบุญทิ้ง รู้มั้ยเด็กๆที่นี่ทุกคนจะได้เข้าเรียนเมื่อถึงเวลา แต่ใครที่อายุยังไม่ถึงพี่แก้วก็จะเป็นคนสอนเบื้องต้นให้”
บุญทิ้งยิ้มอย่างดีใจมาก
“ถ้าได้เข้าเรียนจริงๆ ผมจะตั้งใจเรียนให้ดีที่สุดเลยครับพี่ภาคิน”
ภาคินพยักหน้า หันไปยิ้มกับเฟื่องแก้ว แล้วหันมามองบุญทิ้งอย่างเอ็นดู

ภาคินกำลังนั่งดูแฟ้มบนโต๊ะ เฟื่องแก้ววางแก้วกาแฟให้ ภาคินเงยหน้ามอง
“ขอบใจ...”
“คุณภาคินดูอะไรคะ ให้แก้วช่วยอะไรมั้ย”
“กำลังดูแฟ้มประวัติของบุญทิ้งที่หมวดตุลย์เขาให้มานะ”
“มีอะไรเหรอคะ”
“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก แค่อ่านดูอีกทีจากคำให้การของนายพ่วง ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าเด็กที่หน้าตาน่ารัก แถมฉลาดอย่างบุญทิ้งจะถูกพ่อแม่ เอามาทิ้งไว้ที่กองขยะอย่างที่นายพ่วงบอก”
“นั่นสิคะ...แต่นายพ่วงก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องโกหกนี่คะ”
“ก็ถูกนะ...เพราะเด็กคนอื่นๆนายพ่วงก็สารภาพความจริงทั้งหมด เฮ้อ...ผมอาจจะคิดมากไปเองก็ได้”
เฟื่องแก้วยิ้ม กำลังจะออกไปแต่เหลือบมองไปเห็นแผลของเขาเข้า เฟื่องแก้วตกใจ รีบเดินเข้ามาจนชิด
“ตายแล้วคุณภาคิน ไปโดนอะไรมาคะ”
ภาคินมองที่แผลพูดเรียบๆ
“อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ ไม่ต้องตื่นเต้นไปหรอกแก้ว”
เฟื่องแก้วจับที่แขน ท่าทางห่วงมาก
“ไม่หน่อยนะคะ ถึงกับเลือดตกยางออกอย่างนี้”
ภาคินดึงมือเฟื่องแก้วออก แต่เธอไม่ยอมจะดูแผลให้ ได้เลยกลายเป็นเขาจับมือเธออยู่ ภาคินมองข้ามไหล่เฟื่องแก้วไป เห็นปานฟ้ายืนมองอยู่หน้าห้อง ก็ตกใจ
“คุณปานฟ้า...”
ปานฟ้ายืนมองอยู่นิ่งๆ อย่างคาดไม่ถึง ได้สติรีบพูดตะกุกตะกัก
“ขอโทษนะคะ...เห็นประตูไม่ได้ปิดฉันเลยไม่ได้เคาะ”
เฟื่องแก้วถอยออกมา ยิ้มให้ปานฟ้าแล้ว หันไปมองเห็นภาคิดที่มีหน้าตาตกใจก็มองอย่างแปลกใจ
ปานฟ้าเดินเร็วๆมาที่รถ ภาคินเดินตามมาติดๆ
“ทำไมคุณฟ้าจะรีบกลับละครับ”
ปานฟ้าไม่หยุดเดิน พูดห้วนๆ
“ก็ฉันบอกเรื่องที่ห้างฉันจัดประกวดวาดรูปแล้วนี่คะ ถ้าคุณสนใจก็เชิญพาเด็กๆไปได้”
“แต่เมื่อวานคุณบอก มีเรื่องจะขอความช่วยเหลือผมนี่ครับ
“ฉันเปลี่ยนใจแล้วล่ะคะ...เห็นคุณยุ่งๆอยู่ฉันกลับก่อนคงจะดีกว่า”
สองคนมาถึงรถ ปานฟ้าจับประตูรถ ภาคินจับมือเธอไว้ไม่ให้เปิด ปานฟ้าชะงักรีบดึงมือกลับ ท่าทางถือตัวมาก ภาคินรีบพูด
“ขอโทษครับ...ผมไม่ได้ตั้งใจเพียงแต่...”
ตุลย์เข้ามาขัดจังหวะ
“สวัสดีคุณภาคิน...อ้าวคุณนะเองมาทำบุญใหม่เหรอครับ”
ปานฟ้างงแต่แล้วก็จำเขาได้
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับคุณ...”
“ปานฟ้าค่ะ”
ตุลย์ก้มหัวให้
“สวัสดีครับผมตุลย์...มีอะไรจะให้รับใช้ก็เชิญได้ทุกเวลานะครับ” ตุลย์หันไปทางภาคิน “คุณภาคิน...ผมขออนุญาตพาคุณแก้วไปทานข้าวกลางวันน่ะ หวังว่าคุณคงไม่ว่าอะไรถ้าจะออกก่อนเวลาสักหน่อย”
ภาคินยิ้ม
“เชิญตามสบายเลยหมวด”
ตุลย์ยิ้มหน้าบาน หันไปก้มหัวให้ปานฟ้าอีกที
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ปานฟ้ารับคำงงๆ
“ค่ะ”
ภาคินได้โอกาสจึงรีบพูด
“หมวดตุลย์น่ะเขาชอบแก้วอยู่ ส่วนแก้วผมก็ยังไม่เห็นมีใคร ไม่แน่นะผมว่าคู่นี้อาจจะลงเอยกันเร็วๆนี้ก็ได้ ถ้าหมวดตุลย์เขาหมั่นมาทุกวันแบบนี้”
ปานฟ้าท่าทางเก้อๆ ภาคินแกล้งจงใจถาม
“หรือคุณฟ้าว่ายังไงครับ”
“ไม่ทราบค่ะ...ฉันหิวข้าวแล้วตั้งแต่เช้ายังไม่ทานข้าวเลย”
ปานฟ้าเดินไปเปิดประตูรถ ภาคินทำเสียงอ่อย
“ผมก็ยังไม่ทานเหมือนกัน ใจคอคุณฟ้าจะไม่ชวนผมสักคำเลยเหรอครับ”
ปานฟ้าขึ้นรถนั่งเฉย ภาคินจ๋อยไป สักครู่เธอก็กดกระจกลงพูดหน้าตาเฉย
“ไหนว่าหิวไงคะ ทำไมยังไม่ขึ้นรถอีกล่ะ”
ภาคินยิ้มดีใจรีบเปิดประตูรถขึ้นไปอย่างว่องไว ปานฟ้าขับรถออกไปทันที

เฟื่องแก้วเดินออกมากับตุลย์ เธอเพ่งมองท้ายรถปานฟ้าที่ออกไปจากมูลนิธิไม่ค่อยพอใจ
“เอ๊ะ...คุณภาคินกับคุณปานฟ้าเขาไปไหนกัน”
ตุยล์มองตามพูดขำๆ
“ก็คงไปกินข้าวนะสิครับ...เราก็ไปกันเถอะ”
เฟื่องแก้วหยุดเดิน
“ไหนเมื่อกี้หมวดบอกว่า จะชวนคุณภาคินไปด้วยกันไงคะ”
ตุลย์อึกอัก
“ก็...ก็คิดไว้อย่างนั้น แต่ตอนนี้จะชวนยังไงละครับ ก็คุณภาคินไปกับคุณปานฟ้าคนสวยแล้วนี่”
เฟื่องแก้วฉุนมากหันกลับ ตุลย์งงรีบวิ่งมาขวาง
“อ้าว...คุณแก้วจะไปไหน รถผมจอดอยู่ตรงโน่น”
“ฉันไม่หิว...ฉันไม่ไปแล้วค่ะ...หลีกทางด้วยคะหมวด”
ตุลย์งงๆ เฟื่องแก้วเดินชนไหล่ตุลย์เข้าไปในมูลนิธิอย่างอารมณ์เสีย ตุลย์มองอย่างไม่เข้าใจ

ปานฟ้าขับรถมาจอดริมถนน ทั้งสองลงมาจากรถ ปานฟ้ามองรอบๆอย่างแปลกใจ
“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไมคะ”
ภาคินยิ้มมีเลศนัย
“ก็พามาหาอะไรทานนะสิครับ”
ปานฟ้ายกมือป้องแดดมองหาร้านแล้วหันกลับมา
“ไหนละคะร้านอาหาร...ไม่เห็นมีสักร้านเลย”
“ของอร่อยมันก็ต้องหายากหน่อย ไปกันเถอะครับ”
ภาคินพาปานฟ้าออกเดินลัดเลาะลงข้างทางไป ปานฟ้าตามไปอย่างงงๆ...ภาคินพาปานฟ้าเดินมาถึงสะพานไม้ข้ามคลองเล็กๆ เขาหยุดเดินหันไปมอง
“ผมลืมไปคุณจะข้ามได้มั้ยเนี่ย"
ปานฟ้าท่าทางขึงขัง
“ทำไมคะ...ทำไมฉันจะข้ามไม่ได้ คนอื่นเขายังข้ามได้ ฉันก็ต้องข้ามได้สิ”
ภาคินยิ้มๆมองที่รองเท้าส้นแหลมสูงของปานฟ้าแล้วส่ายหน้า
“เอาอย่างนี้คุณจับแขนผมแล้วกัน จะได้ช่วยพยุงให้คุณทรงตัวได้”
ปานฟ้ายิ้มอวดดี
“นี่คุณภาคินเจ้าคะ...ฉันน่ะไม่ใช่คุณหนู หรือไฮโซมาจากไหน เดินแค่นี้ฉันเดินได้สบายมาก ไม่เชื่อคุณก็คอยดู”
ปานฟ้าก้าวฉับๆข้ามสะพานไปอย่างมั่นใจ ส้นรองเท้าทิ่มลงไปตรงช่องระหว่างไม้
ปานฟ้าเสียหลัก
“ว๊าย...”
ภาคินพุ่งเข้ารับร่างของเธอไว้ได้ทัน ปานฟ้าตกใจตาต่อตาสบกันในระยะประชิด ภาคินทำเสียงดุใส่
“คนดื้อ...เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ”
ปานฟ้าทรงตัวได้ยิ้มเจื่อนๆ
“ขอบคุณค่ะ...”
ภาคินยกแขนขึ้นเป็นเชิงให้เกาะ คราวนี้ปานฟ้าเกาะโดยไม่ลังเล ภาคินขำ ปานฟ้าแอบค้อน สองคนพากันข้ามสะพานไป ตรงไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือริมคลอง เข้าไปนั่งลงที่โต๊ะริมคลอง เธอมองอย่างพอใจ
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่า จะมีร้ายก๋วยเตี๋ยวเรือ ท่าทางน่าอร่อยซ่อนอยู่ในนี้”
ภาคินซ่อนยิ้ม
“ครับ...ผมรับรองว่าเชลล์ยังต้องขอมาชิม”
ปานฟ้าอมยิ้ม
“ฉันไม่ยักรู้ว่าคุณ เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารการกิน”
ภาคินเก้อ ปานฟ้าถามต่อ
“ฉันจะสั่งได้หรือยังคะ”
ภาคินรีบยกมือเรียกเด็ก
“น้อง...”
ปานฟ้ารีบบอก
“ฉันขอเส้นเล็ก ไม่ใส่ถั่วงอก ไม่ใส่เครื่องในนะคะ อ๋อแล้วก็ไม่ใส่น้ำตกด้วย”
ภาคินแปลกใจ
“คุณทานเหมือนผมเลย”
เด็กในร้านเดินมาวางน้ำแข็งเปล่าให้ ปานฟ้ารีบหยิบมาดูดเพราะหิวน้ำมาก ภาคินสั่งอย่างรวดเร็ว
“เล็ก ไม่งอก ไม่ใน ไม่ตก หกชาม”
ปานฟ้าสำลักน้ำ ภาคินตกใจรีบหยิบทิชชูตรงหน้ายื่นให้
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“คุณสั่งมาให้ใครคะตั้งหกชาม ฉันน่ะชามเดียวก็เหลือแล้ว”
ภาคินยิ้มๆไม่ตอบ ปานฟ้าพูดจริงจัง
“ใครสั่งมาต้องรับผิดชอบด้วย...”
ภาคินยิ้มๆ มองบรรยากาศรอบๆร้านอย่างสบายใจ

วิมลวรรณชะงักช้อน ที่กำลังตักข้าวเข้าปาก เงยมองก้องภพที่เดินแกว่งกุญแจรถเข้ามานั่ง
“แหม...ลงมาได้เวลาอาหารกลางวันเชียวนะลูกชายฉัน”
ก้องภพหัวเราะหันไปทางป้านุ่ม
“เอาแต่กาแฟนะ...ฉันยังไม่หิว”
“ค่ะ...”
ป้านุ่มเดินออกไปจากห้องอาหาร ก้องภพแบมือมาตรงหน้าวิมลวรรณ
“ขอสามหมื่นสิครับแม่”
วิมลวรรณตีมือลูกชายพูดห้วนๆ
“แม่ไม่ใช่ตู้เอทีเอ็มนะจ๊ะ”
“น่าแม่ก็...จะตกปลาตัวใหญ่ ก็ต้องใช้เหยื่อล่อดีๆหน่อยสิครับ”
วิมลวรรณหยุดกินถามอย่างสนใจ
“ตกลงแกเจอหนูปานฟ้าแล้วหรือยัง”
“เจอแล้วแม่...โอโหแม่รู้มั้ยฟ้านะยิ่งโตยิ่งสวย เวลาอยู่ใกล้ๆผมแทบอดใจไว้ไม่ไหว”
“ก็ไม่ต้องอดซี้...รวบหัวรวบหางเสียเลย ถ้าแกขืนชักช้าระวังเถอะ ไอ้หนุ่มหน้าไหนมันจะมาคว้าหนูปานฟ้าไปซะก่อน ทั้งสวยทั้งรวยหาได้ง่ายๆที่ไหนล่ะ”
“ใครกล้ามาแตะของๆผมล่ะก็ ผมไม่เอามันไว้แน่แม่”
ก้องภพหน้าตาเอาเรื่องจริงๆอย่างที่พูด

บนโต๊ะมีชามก๋วยเตี๋ยวชามเล็กๆ ซ้อนกันอยู่สี่ชาม ภาคินกำลังกินก๋วยเตี๋ยวชะงักแอบมองดูปานฟ้าที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย ปานฟ้าวางช้อนกับตะเกียบ ยกมือพัดปากประมาณเผ็ดมาก รีบหยิบน้ำมาดูด ภาคินขำๆ
“ไหนใครบอกว่าชามเดียวก็เหลือ”
ปานฟ้าดูดน้ำเสร็จ ยิ้มร่าเริงพูดแบบไม่ยอมจนมุมง่ายๆ
“เหลือแต่ชามไงคะ...ฉันยังพูดไม่จบต่างหาก”
ภาคินส่ายหน้าอ่อนใจ
“อิ่มมั้ยครับต่ออีกมั้ย”
“ไม่ไหวแล้วค่ะ...”
ภาคินเรียกเด็กมาเก็บเงิน ปานฟ้ารีบเปิดกระเป๋าสะพายหยิบกระเป๋าใบเล็กออกมาเปิดหยิบแบงค์พันมาถือไว้
“ฉันจ่ายเองค่ะ...ฉันอยากเลี้ยงตอบแทนคุณ”
เด็กเข้ามาบอก
“หกสิบบาทพี่”
ปานฟ้าตาโต
“อะไรนะ...ชามละสิบบาทเองเหรอจ๊ะ”
ภาคินหยิบกระเป๋า ดึงแบงค์ย่อยมาจ่ายให้พอดีราคาและตอบแทนเด็กไปด้วย
“ครับ...น้ำแข็งเปล่าฟรีแล้วก็ไม่มีเซอร์วิสชาร์จด้วย”
ปานฟ้ารีบห้ามเด็ก
“น้องคะเอานี่ค่ะ วันนี้ฉันจะเลี้ยง”
เด็กส่ายหน้า
“ไม่มีทอนหรอกพี่”
ปานฟ้าจ๋อย ภาคินมองยิ้มๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ...ผมจะถือว่าคุณยังติดเลี้ยงข้าวผมอยู่มื้อหนึ่งก็แล้วกัน”
ปานฟ้ายิ้มออกมาได้ ภาคินเดินไปขยับเก้าอี้ให้เธอลุกขึ้นอย่างสุภาพ ขณะเดียวกันนั้นมีเสียงระนาดดังแว่วมา ภาคินหันไปถามเด็กอย่างแปลกใจ
“เสียงอะไรนะน้อง”
“อ๋อ...ลิเกท้ายตลาดนี่เองพี่”
ปานฟ้าสนใจ
“ลิเก...”
ภาคินมองขำๆ
“ผมทายได้เลยว่าคุณคงไม่เคยดูลิเก”
ปานฟ้าตื่นเต้น
“ค่ะ...แวะไปดูกันหน่อยได้มั้ยคะฉันอยากเห็นจัง”

ที่โรงลิเกท้ายตลาด ภาคินกับปานฟ้าเห็นกัญญา กำลังรำและร้องลิเกอยู่ มีคนดูไม่มากนัก
“หัวอกแม่แทบจะขาดเมื่อคิดถึงเจ้า แม่เคยเฝ้าอุ้มชูอยู่เช้าค่ำ แต่คนชั่วมาพรากไปให้ระกำ แม่ชอกช้ำอกกลัดหนองต้องตรอมตรม”
ระนาดตีรับ กัญญารำสวยงามทำท่าโศกเศร้า ปานฟ้าดูแล้วตื่นเต้นมาก
“เข้าไปดูใกล้อีกหน่อยได้มั้ยคะ”
ภาคินพยักหน้าเดินเข้าไป กัญญากำลังทำท่าร้องไห้เงยขึ้นมาชะงัก เมื่อเห็นภาคินเดินเข้ามากับปานฟ้า กัญญาตะลึงน้ำตาคลอ แล้วรีบเล่นต่อ
“ลูกแม่...” กัญญาพูดไปตาก็มองภาคินไป “แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน...เวรกรรมอะไรหนอที่ทำให้เราแม่ลูกต้องพลัดพรากจากกัน ลูกจ๋า...แม่...”
กัญญาพูดไม่ออก น้ำตาไหลรินลงมา คนดูชอบใจ ถมมองอย่างแปลกใจพึมพำเบาๆ
“ในบทมันมีด้วยเหรอวะ”
กัญญาฝืนใจเล่นต่อ
“แม่...คิดถึงลูกเหลือเกิน”
กัญญาลุกขึ้นรำหายเข้าไปข้างเวที คนดูตบมือกันใหญ่ ปานฟ้าตื่นเต้น
“โอโห...เขาเล่นเก่งจังนะคะ”
เงียบไม่มีเสียงตอบจากภาคิน เธอหันมามองเห็น เขาหน้าเศร้ามากก็ตกใจ
“คุณภาคิน...มีอะไรหรือเปล่าคะ”
ภาคินกระพริบตาถี่ๆ
“เปล่าครับ...ผมว่าเราไปกันเถอะ”
ภาคินไม่รอคำตอบเดินผละไป ปานฟ้างงๆ แต่ก็ตามเขาไป กัญญาแอบมองลูกชายอยู่ข้างเวทีอย่างสะเทือนใจมาก น้ำตาของเธอค่อยๆไหลลงมาก่อนจะพึมพำเบาๆ
“ลูกแม่...”
กัญญาเดินมาพักเห็นช้อยกำลังโวยวายกับถม
“พี่ถมก็คอยแต่ให้ท้ายนังกัญญามันอยู่อย่างนี้”
“ให้ท้ายอะไรเล่า นี่ช้อย...แล้วเรียกแม่กัญญาเขาให้มันดีๆหน่อย”
“ทำไม...ก็มันชอบเล่นนอกบท เก่งนักเรื่องขโมยซีนให้คนดูเห็นใจมันน่ะ แบบนี้ฉันก็แย่สิ”
กัญญารีบเข้ามาพูดเสียงอ่อน
“ฉันขอโทษนะช้อย...เมื่อกี้มันอินไปหน่อย ก็เลยเผลอพูดนอกบทไป”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกกัญญา ถึงตอนซ้อมจะไม่มี แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เนื้อเรื่องมันเสียไปนี่นา ตรงข้ามคนดูกลับชอบใจกันใหญ่”
ช้อยแค้น
“อุ๊ย...ทำอะไรก็ดีไปหมด ไม่อยากจะเป็นแล้วโว้ยนังโอ่งนังเอกเนี่ย”
ช้อยสะบัดออกไป กัญญาอึ้งได้แต่หันมามองถม
“ฉันขอโทษจริงๆนะจ๊ะพี่ถม”
“อย่าคิดมากนะ...ก็ฉันบอกแล้วไงว่าไม่เป็นอะไรนะ”
“พี่ถมอย่าเข้าข้างฉันเลย ผิดก็ต้องว่าตามผิดฉันเข้าใจจ้ะ”
“แต่...”
กัญญารีบพูดขัดขึ้น
“พี่ถมอย่าทำอย่างนี้เลย ยิ่งพี่ดีกับฉันมาก ฉันก็ยิ่งทำตัวลำบาก พี่ปฏิบัติกับฉันเหมือนคนอื่นๆในคณะเถอะนะ ผิดก็ต้องว่าตามผิด”
“ทำไมพูดแบบนี้ละแม่กัญญา แม่กัญญาก็รู้ว่าใจฉันคิดยังไง”
“ฉันรู้จ้ะแต่พี่ก็คงรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้...ขอร้องล่ะคิดว่าฉันเป็นน้องเป็นนุ่งคนหนึ่งก็แล้วกันนะ อย่าให้ฉันต้องลำบากใจไปมากกว่านี้เลย”

กัญญาเดินผ่านไป นั่งลบเครื่องสำอางออก ถมยืนอึ้งมองตาม ถอนใจหนักหน่วง
อ่านดุจดาวดิน ตอนที่ 2/2
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์