หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

อ่านสามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 21/3

อ่านสามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 21/3
สุพรรณิการ์นั่งกระสับกระส่ายอยู่ในรถ บริเวณหน้าบ้านเนตรนภัส สุพรรณิการ์ไม่รู้เลยว่า ชื่อของเธอถูกวัชระนำไปอ้างในการบอกรัก สุพรรณิการ์คอยชะเง้อมองเข้าไปในบ้านเนตรนภัสด้วยความเป็นห่วงวัชระเป็นระยะ
ภายในบ้าน เนตรนภัสมองหน้าวัชระถึงกับน้ำตาร่วง
“วัชพูดออกมาได้ยังไง คิดบ้างมั้ยว่าแหนมจะเสียใจ”
“แหนม..มันเป็นความจริง ผมไม่ได้รักคุณแล้ว เรื่องของเรามันจบแล้ว .. มันไม่มีทางจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว แหนมต้องรับมันให้ได้” วัชระบอก เนตรนภัสส่ายหน้ารับไม่ได้

“ไม่!! แหนมไม่รับอะไรทั้งนั้น มันไม่จริง มันไม่จริง ไม่มีทาง มันเป็นไปไม่ได้ ไม่” นตรนภัสกรีดร้องและร้องไห้ฟูมฟาย
เนตรนภัสหนีความจริงร้องไห้แล้วก็วิ่งออกไปบ้าน สีรุ้งและนรีวรรณตกใจรีบร้องเรียก
“แหนม / พี่แหนม”
วัชระมองตามด้วยความรู้สึกผิด แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง วัชระหันมาทางสีรุ้งและก้าวเท้าเดินเข้าไปหา วัชระทรุดนั่งลงที่พื้น
“คุณท่านครับ”
นรีวรรณมองวัชระอย่างอึ้งๆ สีรุ้งยังคงเชิดหน้าเล็กน้อยด้วยทิฐิที่มีอยู่ วัชระก้มลงกราบที่พื้น เพื่อเป็นการขอโทษ ขอขมา จากหัวใจ
“ผมขอกราบขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ผมขอโทษ .. ผมผิดเองครับ”
สีรุ้งใจอ่อนลงเล็กน้อย แต่ก็ยังมีทิฐิหลงเหลืออยู่
ทันใดนั้นเสียงเนตรนภัสก็ดังแหวกอากาศเข้ามาอย่างโกรธเกรี้ยว
“แค่ขอโทษ มันไม่จบหรอกนะ”
วัชระ สีรุ้ง นรีวรรณ หันไปตามเสียงเนตรนภัสพร้อมกัน แล้วทุกคนก็ต้องช็อก
“แหนม” สีรุ้งเรียกชื่อลูกสาวอีกครั้ง
เนตรนภัสยืนถือปืนเล็งมาที่วัชระ มือไม้สั่น เสียงสั่นด้วยความโกรธ วัชระลุกพรวดขึ้นมาทันที
“แหนม”
“อยากตายแทนมันนักไม่ใช่เหรอ... อยากตายเพื่อให้เรื่องมันจบๆไปใช่มั้ย ได้...ถ้าอยากจะตายนัก แหนมจะทำให้วัชได้ตายสมใจ”
เนตรนภัสน้ำตาไหลพรากพลางหลับตามือไม้สั่นเหนี่ยวไกปืน
เสียงปืนและเสียงกรีดร้องของสีรุ้ง นรีวรรณ ดังขึ้นพร้อมกัน
“ปัง!” / “แหนม / พี่แหนม”

สุพรรณิการ์ตกใจสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงปืนชัดเจนสองหู
“วัช”
สุพรรณิการ์รีบวิ่งลงจากรถทันที พร้อมกับกดโทรศัพท์โทร.ออกไปหาอรุณศรีทันที
“เสียงปืนดังมาจากในบ้าน แล้วใครเป็นคนยิง ใครโดนยิง” อรุณศรีพูดโทรศัพท์ด้วยความตกใจ
กริชชัยซึ่งยืนดูงานอยู่ไม่ห่างได้ยินพอดีจึงรีบเดินมาหาอรุณศรี อรุณศรียังคงฟังสุพรรณิการ์รายงานสดจากสถานที่เกิดเหตุ
“ฉันยังไม่รู้ แต่ทางที่ดี แกโทร.เรียกรถพยาบาลให้ฉันก่อน”
“ได้ๆ เดี๋ยวจัดการให้ มีอะไรคืบหน้าแกรีบโทร.บอกฉันด้วย ฝ้าย ระวังตัวด้วย” อรุณศรีน้ำเสียงจริงจังก่อนจะวางสายไป
“เกิดอะไรขึ้น” กริชชัยรีบถามขึ้น

เนตรนภัสน้ำตาร่วงสะอึกสะอื้น มือไม้สั่น หลังจากที่ลั่นไกแล้วจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น วัชระทรุดลงกับพื้น เลือดไหลนอง วัชระกุมต้มขาด้วยความเจ็บปวด
“โอ้ย”
เนตรนภัสช็อก เห็นวัชระโอดครวญด้วยความเจ็บปวด และเลือดไหลเต็มพื้น เนตรนภัสทำอะไรไม่ถูก
สีรุ้งกับนรีวรรณยืนช็อกอ้าปากค้างอยู่ สีรุ้งได้สติก่อน
“แหนม” สีรุ้งเรียกเนตรนภัสเสียงสั่น
เนตรนภัสได้สติตามมาพลางส่ายหน้า มือสั่น ปากสั่น น้ำตาร่วงและพูดเพียงคำเดียว
“ไม่”
เนตรนภัสรีบโยนปืนทิ้งด้วยความตกใจ ทำอะไรไม่ถูก
“ออกไป ออกไป แล้วอย่ามาให้เห็นหน้าอีก ไอ้ผู้ชายเลว ไอ้คนเลว ออกไป” เนตรนภัสร้องไห้ตะเบ็งออกมาสุดเสียง วัชระมองด้วยความสงสาร
เนตรนภัสททรุดตัวเป็นลม สีรุ้งพุ่งเข้าไปรับพอดี
“นุ้ย รีบเอาปืนไปไกลๆเลยลูก” สีรุ้งรีบหันมาสั่งนรีวรรณ
“คะ..ค่ะ” นรีวรรณรับคำ
นรีวรรณไม่รู้จะทำยังไงกับปืนกระบอกนั้น ไม่กล้าจับ เลยใช้วิธีเตะไปให้วัชระ วัชระรีบรับไว้
“แหนม” สีรุ้งเขย่าตัวแต่เนตรนภัสยังไม่รู้สึกตัว
“นุ้ย ช่วยแม่พาพี่ไปที่ห้องเร็ว” สีรุ้งสั่ง
“ค่ะ”
สีรุ้งและนรีวรรณช่วยกันพากันประคองเนตรนภัสไป ไม่สนใจวัชระแม้แต่น้อย มีเพียงสีรุ้งที่ปรายตามามองเล็กน้อยแล้วก็สะบัดหน้าหนี
วัชระขยับจะลุกขึ้น
“โอ้ย”
สุพรรณิการ์เห็นวัชระนั่งจมกองเลือดอยู่ก็ตกใจรีบวิ่งพรวดพราดเข้ามาทันที
“วัช”
วัชระหันมาเห็นสุพรรณิการ์วิ่งเข้ามา พยายามจะขยับตัวอีกครั้ง
“ฝ้าย… โอ้ย”
วัชระร้องออกมาด้วยความเจ็บที่ต้นขา

ภายในห้องทำงานของลำเภาในคลินิครักษาสัตว์ในช่วงเวลาเย็น ลำเภา วินนี่ และพยาบาลอีกคนหนึ่งกำลังปรึกษาเรื่องงานกันอยู่ จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกธีธัชเปิดผัวะเข้ามา ทุกคนในห้องหันไปมองเป็นสายตาเดียว
“เภา ไอ้วัชโดนยิง” ธีธัชเสียงตื่นเต้นมาก
วินนี่และนางพยาบาลตกใจและแปลกใจและมีคำถามในใจ ใครวะวัช!
“โดนยิง หรือว่ายิงตัวเอง” ลำเภาถามหน้าตาย
“โดนยิงสิ จะมายิงตัวเองทำไม”
“อ้าว..ใครจะไปรู้ เห็นกลุ้มๆ นึกว่าจะฆ่าตัวตาย”
“นี่ไม่ใช่เวลามาล้อเล่นนะ รีบไปเร็ว”
ธีธัชรีบคว้ามือลำเภาแล้วลากออกจากห้อง ลำเภาไหลไปตามแรงลาก
“เฮ้ย”
“ขอโทษนะครับ เรื่องด่วนจริงๆ ต้องขอตัวลำเภาไปก่อน ไปเภา” ธีธัชหันมาทำเสียงเครียด
“เฮ้ย อะไรกันเนี่ย จะลากฉันไปไหน” ลำเภาโวยวายขณะที่ตัวไหลไปตามแรงลากของธีธัช
วินนี่กับพยาบาลมองตามอย่างงงๆ วินนี่ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหวานมาก
“จะว่าไป..แฟนเภาก็น่ารักดีเหมือนกันนะ..น่าเสียดาย”
พยาบาลหันมาปรายตามองวินนี่ พลางคิด “อ้าว..เก้งซะงั้น”

ธีธัชลากลำเภาออกมาถึงหน้าคลีนิค เสียงลำเภายังคงโวยวายอยู่
“นี่ๆ อย่ามาเนียน..ปล่อยมือฉันเลย นายจะลากฉันไปไหนหะ”
ธีธัชหันมาหาลำเภาแต่ไม่ปล่อยมือ
“ก็ไปดูอาการไอ้วัชที่โรงพยาบาลไง”
“ฉันเป็นสัตวแพทย์ จะให้ไปดูอาการคุณวัชได้ยังไง แล้วที่โรงพยาบาลเค้าก็มีหมออยู่แล้ว ฉันไปวันหลังก็ได้ ปล่อยมือเลย”
“ไม่ปล่อย”
ธีธัชจับคว้ามือจับข้างเข้ารวบไว้
“ต้องไปด้วยกัน”
“มากไปแล้ว น้อยๆหน่อย ฉันบอกให้ปล่อยมือ ใครอนุญาตให้จับมือไม่ทราบ”
“ไม่มี..แต่ไม่ปล่อย”
นอกจากไม่ปล่อยแล้ว ธีธัชยังถือโอกาสกอดเข้าให้ แล้วบอกว่า
“แล้วก็ต้องไปด้วยกัน”
ลำเภาดิ้นไปมา
“เฮ้ย..ปล่อยนะ แล้วนายมากอดฉันทำไมเนี่ย ลามปาม สามห้าว ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”
ลำเภาโวยวายๆ ธีธัชไม่สนใจอุ้มลำเภาไปซะเลย
“เฮ้ย อุ้มเลยเหรอ เยอะไปแล้วนะ ปล่อยนะ นายหมาใหญ่ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”
“เอาน่า..ไหนก็เป็นแฟนกันแล้ว อุ้มนิดอุ้มหน่อยเป็นไรไป”
“ใครเป็นแฟนนาย ฉันยังไม่ได้อนุมัติสักหน่อย”
ธีธัชขำ แล้วย้อนลำเภาทันที
“ก่อนหน้านี้ฉันก็ยังไม่ได้อนุมัติ เธอยังเนียนเป็นแฟนฉันตั้งนาน คราวนี้ก็ตาฉันมั่งไง”
ธีธัชอุ้มลำเภาไปที่รถด้วยความสนุกสนาน
“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ”
“ไม่ปล่อย”
“บอกให้ปล่อย”
“ก็บอกว่าไม่ปล่อย”
ลำเภาพยายามจะดิ้นแต่ยิ่งดิ้นธีธัชยิ่งกอดแน่น ธีธัชยิ้มกริ่ม “ชอบน่ะเนี่ย” ลำเภาทำเป็นดิ้นๆ แต่พอมี
จังหวะก็แอบอมยิ้มนิดๆ “ตื่นเต้นวุ้ย”

ภายในห้องพักของโรงพยาบาล วัชระนอน และแกล้งสำออยร้องโอดครวญอยู่
“โอ้ย”
สุพรรณิการ์เดินถือแก้วน้ำมาวางข้างๆ ปรายสายตามองวัชระแล้วพูดประชด
“แค่นัดเดียวที่ต้นขา ห่างจุดสำคัญตั้งเยอะ ไม่ต้องมาทำสำออย เรียกร้องความสงสาร”
วัชระหยุดร้องทันที
“โธ่..รู้ทัน ไม่หนุกเลย”
“ปากดีนักนะ โดนยิงแล้วยังไม่เจียม ยังอยากจะสนุกอีกเหรอหะ อีกซะป้าดมั้ย สนุกแน่” สุพรรณิการ์พูดพลางท้าวเอว
“โห..โหดจริงๆ ผมเพิ่งโดนยิงมานะฝ้าย ไม่เห็นใจผมบ้างเหรอ”
สุพรรณิการ์มองด้วยแววตาก็สงสารแต่ยังใจแข็งอยู่
“สมควรจะโดน เสียดายที่โดนต้นขา น่าจะโอนตรงนั้นให้รู้แล้วรู้รอด” สุพรรณิการ์พูดแล้วทอดสายตาไปที่หว่างขา
วัชระรีบหนีบขาเอามือปิดด้วยสัญชาตญาณ
“โธ่ฝ้าย...ถ้าโดนจริงๆคุณไม่เสียดายเหรอ” วัชระเสียงอ้อน
“เสียดายทำไม ไม่ได้มีอันเดียวในโลกซะหน่อย หาใหม่ก็ได้” สุพรรณิการ์เบ้ปาก
“ใจร้าย”
“ไม่ต้องมาทำหน้าออดอ้อน แล้วก็จำไว้ด้วย.. ฉันยิงปืนแม่นกว่าคุณแหนม ถ้าในอนาคตประวัติศาสตร์ซ้ำรอยขึ้นเมื่อไหร่ รับรองว่าฉันยิงตรงเป้าแน่”
วัชระสะดุ้งเฮือก

กริชชัยกับอรุณศรีเดินเข้ามาในโรงพยาบาลด้วยความร้อนใจ กริชชัยไล่สายตามองไปตามเลขที่ห้อง
“ห้องนี้ครับ”
กริชชัยหยุดเคาะประตูก๊อกๆ
สุพรรณิการ์เปิดไปเปิดประตูห้องออก อรุณศรีกับกริชชัยยืนตรงหน้า
“ฝ้าย เป็นไงบ้าง”
“ฉันสบายดี”
“แต่ผมโดนเต็มๆ” เสียงวัชระดังมาจากบนเตียง
สุพรรณิการ์ส่ายหน้าในความช่างฟ้อง
“เพื่อนคุณกริช ออดอ้อนน่าดู ไปจัดการหน่อยค่ะ”
“ได้ครับ” กริชชัยยิ้มรับ
ทันใดนั้นเสียงธีธัชก็ดังมา
“รอด้วย”
กริชชัยอรุณศรีหันไปที่ต้นเสียง เห็นธีธัชเดินลากลำเภามา
“ในโรงพยาบาลเค้าห้ามส่งเสียงดังไม่รู้หรือไง” ลำเภาเอ็ด
“ก็ไม่รู้ไงจ้ะ ถึงต้องมีแฟนเป็นหมอ เอาไว้คอยบอก” ธีธัชหยอดใส่ลำเภาทันที
“เหตุผลบ้า” ลำเภาด่าแต่ยิ้มเขิน
กริชชัย อรุณศรี สุพรรณิการ์มองธีธัชที่เดินจูงมือลำเภามาอย่างงงๆ
“ทำไมคุณธีจูงมือมากับคุณเภาหล่ะคะ เป็นแฟนกันแล้วเหรอคะ” สุพรรณิการ์ถามตรงๆ
กริชชัยได้แต่ยิ้มๆ แต่ไม่อยากพูดมาก เพราะรู้ดีอยู่แก่ใจ
วัชระชะเง้อมองที่หน้าประตูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ยู้ฮู คนป่วยอยู่ทางนี้ค้าบ เข้ามาเยี่ยมได้เลยค้าบ มีอะไรเข้ามาคุยกันข้างใน สิเว้ย คุยตรงนั้นคนป่วยไม่ได้ยิน” วัชระโบกมือให้เพื่อนๆ
อรุณศรีขำๆ กริชชัยยิ้มเอือม สุพรรณิการ์ส่ายหน้า

ธีธัชจับมือลำเภาที่วางอยู่บนตักยิ้มหน้าบาน กริชชัย อรุณศรี สุพรรณิการ์ และวัชระ มองมาเป็นตาเดียวลำเภาเหล่ๆ ไปที่ธีธัชแล้วก็ดึงมือออก
“พอได้แล้ว”
“ใช่ครับ...ตอนนี้ผมกับเภาเป็นแฟนกันแล้ว”
“ขี้ตู่”
“ขี้ตู่ ขี้เต่าอะไรหล่ะ ก็จริงนี่ ยอมรับความจริงเหอะน่า”
วัชระหันมาทางกริชชัยที่ยืนหน้านิ่งๆ ไม่ตื่นเต้น
“แกไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอวะ ไอ้ธีเป็นแฟนกับน้องสาวแกนะเว้ย” วัชระหันไปทางกริชชัย
“ฉันรู้แล้ว”
“ใช่ ไอ้กริชมันรู้ก่อนเป็นคนแรก เพราะฉันขออนุญาตอย่างเป็นทางการ จริงใจ จริงจัง หวังเข้าสู่ประตูวิวาห์เว้ย” ธีธัชยอมรับและยิ้มกว้าง
ลำเภาหมั่นไส้เอานิ้วมาปาดปากธีธัช ธีธัชถึงกับผวารีบเช็ดปากเพราะความเค็ม
“เฮ้ย เภาทำไรเนี่ย”
ลำเภาล้วงเจลล้างมือมาบีบใส่มือแล้วก็เช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคพร้อมกับพูดไปด้วยหน้านิ่งๆ
“ก็ทำให้หยุดพูดน่ะสิ มาเยี่ยมคุณวัช ก็เม้าท์แต่เรื่องตัวเอง ขโมยซีนคนไข้ได้ยังไง”
ลำเภาพูดจบแล้วก็หันมาทางวัชระ ถามน้ำเสียงจริงจัง
“คุณวัช..ไปทำอีท่าไหนคะ ถึงได้โดนคุณแหนมยิงมาแบบนี้”
ทุกคนอึ้งในความเนียนของลำเภา ธีธัชส่ายหน้า
“เปลี่ยนเรื่อง”
ลำเภากระทุ้งท้องธีธัชให้เงียบแล้วก็ปั้นหน้านิ่งรอฟังคำตอบจากวัชระ
“ก็แค่ยอมรับผิดทุกอย่าง ถ้าเค้าอยากทำอะไรก็ให้ทำที่ผม อย่าไปทำกับคนอื่น แล้วก็.. บอกเค้าว่าผมรักฝ้าย .. ผมพร้อมที่ตายแทนฝ้ายได้เสมอ”
วัชระกับสุพรรณิการ์มองตากัน สุพรรณิการ์อึ้งเพราะคิดไม่ถึง วัชระยืนยันด้วยแววตาว่าพูดจริง สุพรรณิการ์ถึงกับเขินยิ้มหลบสายตา
“พูดแบบนี้..สมควรแล้วที่โดนยิง” สุพรรณิการ์ทำเป็นประชด แต่ก็อมยิ้มดีใจ
ทุกคนในห้องถึงกับยิ้มตาม อรุณศรีมองสุพรรณิการ์แล้วก็ดีใจแทนเพื่อน
ธีธัชยิ้มตามแล้วทำเนียนเอามือมาโอบไหล่ลำเภา
“สวีตอ่ะ” ธีธัชพูดแล้วเอาหัวไปหนุนไหล่ลำเภาอีกต่างหาก
ลำเภาไสหัวธีธัชออกจากไหล่ แล้วเขี่ยมือธีธัชออกจากไหล่อีกข้าง พูดเบาๆเน้นๆว่า
“อย่ามาเนียน”
“โห..ไม่เคลิ้มหน่อยเหรอ” ธีธัชทำหน้าเซ็ง ลำเภาทำหน้านิ่ง
อรุณศรีคิดๆ แล้วก็หันมาถามสุพรรณิการ์
“ฝ้าย..แล้วแกได้เจอกับคุณแหนมหรือเปล่า”
“ไม่ได้เจอ” สุพรรณิการ์ส่ายหน้า
สุพรรณิการ์คิดถึงเนตรนภัส...แล้วก็รู้สึกว่าความสุขที่มีมันค่อยๆ ฟีบแบนลง..สุขไม่เต็มที่อย่างบอกไม่ถูก

เย็นวันเดียวกัน เนตรนภัสนอนทอดอาลัยอยู่บนเตียงภายในห้อง ดวงตาเหม่อลอย แววตาว่างเปล่า มองออกไปนอกหน้าต่าง สีรุ้งกับนรีวรรณเดินเข้ามาพอดี เห็นสภาพเนตรนภัสที่เป็นอยู่ก็เกิดความเศร้าอยู่ในใจ
เนตรนภัสยังคงนั่งอย่างคนไร้จิตวิญญาณอยู่ที่เดิม สีรุ้งเดินเข้ามาหาและนั่งลงข้างๆ นรีวรรณนั่งลงที่พื้น..อยู่อีกข้างหนึ่งของเนตรนภัส
เนตรนภัสพูดขึ้นมาราวกับเพ้อ แต่เป็นความเพ้อที่ลอยออกมาจากความรู้สึก
“แหนมทำผิดอะไรคะแม่ แหนมไม่ดีตรงไหน ทำไมวัชไม่รักแหนม..ทำไมวัชไปรักคนอื่น” ว่าแล้วเนตรนภัสก็น้ำตาไหลพรากอีกจนได้
สีรุ้งค่อยๆดึงเนตรนภัสมากอด
“แหนม...ฟังแม่สักครั้งนะลูก .. เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่มีประโยชน์จะไปตามหาว่าใครผิด หรือ ซ้ำเติมตัวเองด้วยการยัดเยียดความไม่ดีให้ตัวเอง .. เราแค่รับรู้ว่า .. เค้าไม่ได้รักเราแล้ว”
เนตรนภัสร้องไห้โฮออกมากับความจริงที่เจ็บปวด นรีวรรณเห็นแล้วก็ร้องไห้ตามพี่สาว สีรุ้งพูดต่อด้วยน้ำตา
คลอหน่วย
“และมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้...โดยที่ไม่ต้องมีความรักของเค้า!! ลูกต้องลุก และเดินต่อไปข้างหน้าให้ได้นะลูก”
เนตรนภัสร้องไห้ไม่หยุด กอดสีรุ้งไว้แน่น นรีวรรณพูดขึ้นเสียงสั่นด้วยใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา
“พี่แหนมของนุ้ยเป็นคนเก่ง พี่แหนมต้องลุกขึ้นมาให้ได้นะ พี่แหนมคนเดิมของนุ้ยต้องกลับมาให้ได้”
เนตรนภัสหันมามองนรีวรรณแล้วโผเข้ากอดน้องสาวด้วยความซาบซึ้งใจ ภาพเดิมๆ ที่เคยกัดกันทะเลาะกันมา หายไปเป็นปลิดทิ้ง สีรุ้งปาดน้ำตาแล้วก็มองลูกสาวสองคนกอดกันร้องไห้ด้วยความรักและห่วงใย สีรุ้งรู้สึกตื้นตัน..อย่างน้อยสิ่งร้ายๆ ที่เข้ามา ได้นำพาสิ่งดีๆ ติดตามมาด้วย สีรุ้งค่อยๆ ลูบหัวเนตรนภัสด้วยความอารี
สีรุ้งนึกถึงธรรมะที่เกี่ยวกับความรักของ “ท่านพุทธทาสภิกขุ” ขึ้นมา

“อย่าหวังว่าจะได้รับความรักจากคนที่คุณรัก...เพราะคนที่คุณรัก ไม่ได้รักคุณหมดทุกคน”

ปรานต์เปิดประตูห้องในคอนโดและเดินเข้ามาด้วยความหงุดหงิด เสียงเกียวฝ่าความเงียบในห้องขึ้นมา
“พี่อยากรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร”
ปรานต์ตกใจนิดๆ ที่ห็นเกียวนั่งอยู่กลางห้องมาดราวกับนางพญา ข้างหน้ามีรูปอรุณศรีที่ค้นเจอวางอยู่เกลื่อน ปรานต์ชะงัก ตั้งสติแล้วก็เดินเข้าไปหาเกียว
“แฟนเก่า เลิกกันไปตั้งนานแล้ว” ปรานต์ตอบเหมือนกับไม่มีเยื่อใย
“เลิกกันไปนานแล้ว แล้วทำไมยังตามอ่านข่าวเค้าอยู่หะ อ่านแล้วยังจะเซฟเก็บไว้อีก”
เกียวพูดแล้วหยิบไอแพดมาเปิดรูปข่าวที่ปรานต์เก็บไว้
“ข่าวเนี้ย มันเพิ่งไม่นานนี้เอง ตกลงมันยังไงกันแน่ “ เกียวมองหน้าปรานต์นิ่งๆ
ปรานต์ตั้งสติแล้วเริ่มสวมบทบาทการแสดงด้วยการถอนหายใจ
“ผมพูดไป พี่ก็ไม่เข้าใจ”
“ก็พูดมาสิ...พี่อาจจะเข้าใจก็ได้” เกียวกอดอก
ปรานต์มองหน้าเกียว แล้วก็มองรูป แล้วพลิกบทบาทในฐานะผู้ถูกกระทำ
“ข่าวนี้...เค้าบอกให้ผมเข้าไปดู ตั้งใจจะเย้ยว่าตัวเองมีแฟนใหม่แล้ว รวยกว่าผม เค้าอยากจะให้ผมหึง เพราะเค้าไม่อยากเลิก แต่ผมไม่สนใจแล้ว เค้าจะมีใครรวยแค่ไหน ผมก็ไม่สน แล้วก็ไม่หึงด้วย”
“ถ้าไม่สนแล้วเก็บรูปเค้าไว้ทำไม แล้วยังข่าวพวกนี้อีก” เกียวคาดคั้นและซักต่อ
“ผมเก็บไว้เพราะลืมทิ้ง ไฟล์ข่าวพวกนี้ก็ลืมลบ ถ้าพี่ไม่สบายใจ ผมทิ้งก็ได้ เพราะเก็บไว้ผมก็ไม่อยากดู ส่วนไฟล์พวกนี้ก็ลบไปเลย ผมไม่แคร์” ว่าแล้วปรานต์ก็กวาดทุกสิ่งอย่างที่เกียวเอ่ยถามลงถังขยะอิเลกทรอนิกส์
เกียวเห็นท่าทางจริงจังของปรานต์ ก็เริ่มอ่อนลง หลังจากที่ปรานต์ทิ้งทุกอย่างแล้วก็หันมามองเกียว
“ที่จริง ถ้าพี่อยากรู้เรื่องพวกนี้ ถามผมตรงๆก็ได้ ไม่ต้องมาแอบรื้อของแบบนี้ มันเหมือนพี่ไม่ไว้ใจผม เราคบกันถึงขนาดนี้ มีอะไรก็พูดกันตรงๆ ผมไม่มีอะไรจะต้องปิดบังพี่อยู่แล้ว” ปรานต์แกล้งทำหงุดหงิดใส่เกียว
เกียวหน้าเสียนิดๆ เสียงอ่อนลงอีก
“พี่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจ แค่เจอโดยบังเอิญก็เลยสงสัย โอ๋...อย่าโกรธเลยนะ พี่ก็แค่...หึงเพราะรักนะ ไม่รักไม่หึงนะเนี่ย” เกียวเริ่มออดอ้อน
ปรานต์ทำเป็นเล่นตัวขึ้นมา
“ถ้าพี่รักผมจริงๆ ก็ต้องไว้ใจผม แล้วขอร้องเลยนะ เรื่องแอบรื้อของ ค้นโน่นค้นนี่ นอกจากพี่จะเสียเวลา มันยังทำให้ผมเสียอารมณ์” ปรานต์ทำเสียงเข้ม
“โอเคๆ พี่จะไม่ทำอีกแล้วนะ...นะ...นะ อย่าโกรธเลยนะ พี่ขอโทษเราดีกันนะ” เกียวจับแขน ซบไหล่ ออดอ้อนปรานต์
ปรานต์เล่นตัวอีกหนึ่งอึดใจแล้วก็ทำเป็นพยักหน้ารับคำอ้อน เกียวยิ้มกว้าง ปรานต์ค่อยๆยิ้มออกมาอย่างโล่งอก และมั่นใจว่าเอาตัวรอดไปได้ ขณะที่เกียวค่อยๆ หุบยิ้มแล้วก็ครุ่นคิด...ไม่ได้เชื่อสิ่งที่ปรานต์พูดทั้งหมด

หลังจากแวะเยี่ยมวัชระที่โรงพยาบาลแล้ว กริชชัยขับรถมาส่งอรุณศรีที่บ้านในเวลากลางคืน กริชชัยมองเข้าไปในบ้านที่เปิดไฟอยู่จึงหันมาถามอรุณศรี
“ที่บ้านคุณปกติอยู่กันกี่คน”
“สองคนค่ะ ฉันกับพี่ชาย พี่ชายฉันยังโสด ทั้งบ้านก็เลยมีกันอยู่แค่สองคน”
“ไฟเปิดอยู่แบบนี้ แสดงว่าพี่ชายคุณอยู่บ้าน”
“ใช่ค่ะ”
“ผมจะขอเข้าไปทำความรู้จัก และสวัสดีทักทายจะได้หรือเปล่า” กริชชัยถามตรงๆ ด้วยความสุภาพ
อรุณศรีมองหน้ากริชชัยที่มองมาด้วยแววตาหนักแน่น จริงใจ
“ได้ค่ะ เชิญค่ะ” อรุณศรีตอบและยิ้มนิดๆ
อรุณศรีเดินนำ กริชชัยกำลังจะตามไปแล้วก็ชะงักหันมาถาม
“ผมว่า...วันนี้พี่ชายคุณอาจจะมีแขก”
อรุณศรีมองกริชชัยด้วยความแปลกใจ กริชชัยมองลงที่พื้น อรุณศรีมองตาม
รองเท้าผ้าใบของโอบบุญถอดอยู่ ข้างๆ เป็นรองเท้าส้นสูงปรี๊ดและเปรี้ยวมาก อรุณศรีมองด้วยความแปลกใจ เสียงกริชชัยดังขึ้น
“ผมค่อนข้างมั่นใจว่ารองเท้าแบบนี้ ไม่ใช่สไตล์คุณ”

อรุณศรีเงยหน้ามองกริชชัย ยอมรับด้วยการไม่เถียง แล้วก็มองเข้าไปในบ้านพร้อมมีคำถามเกิดขึ้นในใจ...ของใคร?
เจ้าของรองเท้าส้นสูงปรี๊ดและเปรี้ยวมากคู่นั้น ไม่ใช่คนอื่นคนไกล... กรกนกยิ้มทักทายอย่างเป็นกันเอง เมื่อเห็นกริชชัยกับอรุณศรีเดินเข้ามา

“สวัสดีค่ะ...บังเอิญจังเลยนะคะ ที่มาเจอคุณกริชที่นี่”
กริชชัยพยักหน้ารับ และรู้สึกแปลกใจ แต่อรุณศรีซึ่งยืนอยู่ข้างๆ แปลกใจยิ่งกว่า อรุณศรีถึงขนาดมองกรกนกตาค้าง กรกนกยิ้มทักทาย
“สวัสดีค่ะ คุณแอ๊ว”
อรุณศรียังยืนมองตาค้างอยู่อย่างนั้น จนโอบบุญเดินมาพร้อมถาดอาหารในมือ โอบบุญเดินมาหยุดข้างๆ อรุณศรี และเอาไหล่กระแทกเรียกสติ อรุณศรีจึงรู้สึกตัว
“สวัสดีค่ะ .. คุณกร..มาที่นี่ได้ยังไงคะเนี่ย”
“พี่ชวนมาเอง พอดีหัวหน้าให้คิดเมนูใหม่สำหรับลูกค้าที่รักสุขภาพ เน้นสาวๆ ที่อยากกินแต่ไม่อยากอ้วน พี่ก็ชวนกรมาเป็นหนูทดลอง” โอบบุญตอบแทนแล้วหันมาส่งยิ้มให้กรกนก
สรรพนามที่โอบบุญเรียกก็เปลี่ยนไป ไม่มี “คุณ” แต่เรียก “กร” เฉยๆ เท่านั้น
“โอบทำอาหารอร่อยมากค่ะ วันนี้ทำสามเมนูอร่อยทุกเมนูเลยค่ะ”
“กรพูดจริง หรือแกล้งชมครับ”
“พูดจริงๆ ค่ะ ปกติกรไม่ค่อยทานอาหารหลังหกโมงเย็นนะคะ เมื่อกี๊ยังอดใจไม่ไหว ทานไปเกือบหมดทั้งสามอย่างเลย”
โอบบุญกับกรกนกคุยกันเข้าขากันได้เป็นอย่างดี แถมยังคุยข้ามหน้าอรุณศรีและกริชชัยที่ยืนอยู่ เหมือนคนนอก อรุณศรีกับกริชชัยพากันมองกรกนกที โอบบุญที
“แล้วของหวานละครับ ยังไหวหรือเปล่า”
“ไม่ไหวแล้วค่ะ กรอิ่มจนมาถึงนี่แล้วค่ะ” กรกนกพูดและทำมือบอกระดับถึงคอ
“แต่…มันหน้าตาดีมากเลยนะคะเนี่ย” กรกนกมองขนมในถาด
“งั้นผมใส่กล่องให้ไปทานที่ร้านนะ”
“ด้วยความยินดีเลยค่ะ”
โอบบุญกำลังจะเดินถือถาดขนมไปใส่กล่อง กริชชัยกระแอมขึ้น อรุณศรีนึกขึ้นได้
“พี่โอบเดี๋ยวก่อน”
โอบบุญหันกลับมา อรุณศรีหันมาทางกริชชัย
“คือ..แอ๊วจะขอแนะนำให้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ คุณกริชคะ..นี่พี่โอบบุญพี่ชายฉันค่ะ”
“สวัสดีครับ” กริชชัยยกมือไหว้
กรกนกยื่นมือมารับถาดขนมจากมือโอบบุญอย่างรู้งาน โอบบุญส่งให้และรับไหว้กริชชัย
“พี่โอบ..นี่คุณกริชชัย..เจ้านายแอ๊วค่ะ”
“นอกจากเป็นเจ้านายแล้ว ผมยังเป็นผู้ชายที่กำลังจีบอรุณศรีอยู่ครับ” กริชชัยพูดแทรกขึ้นอย่างสุภาพ
โอบบุญถึงกับตาโตวาว เลิกคิ้ว อึ้งกับผู้ชายของน้องสาว กรกนกอมยิ้ม อรุณศรีอาย ยิ้ม เขิน ทำตัวไม่ถูกไป
ชั่วขณะ
“ผมเรียนให้ทราบ และจะขออนุญาตมาที่นี่บ่อยๆ”
โอบบุญยิ้มชอบใจ แล้วตอบด้วยอารมณ์ดี
“คนที่คุณต้องขออนุญาตจริงๆ คือคนนู้นครับ ถ้าเค้ายอม คุณจะมาบ่อยแค่ไหนก็ได้ ผมไม่มีปัญหา” โอบบุญพูดพลางพยักหน้ามาทางอรุณศรี
โอบบุญยิ้มจริงใจ กริชชัยยิ้มรับนิดๆ แล้วก็หันมาทางอรุณศรี เหมือนจะถามว่า .. มาได้เปล่า ? อรุณศรีได้แต่เก้อเขิน ไม่กล้าสบตา แต่อมยิ้ม

อ่านสามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 21/3
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์