หน้าเว็บ

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

อ่านสามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 23/4

อ่านสามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 23/4
ที่ยิมฯสนามมวยแห่งหนึ่ง นักมวยชายฉกรรจ์ซ้อมมวยอย่างหนักหน่วง เสียงดังสนั่น วัชระอยู่ในชุดซ้อม อัดกระสอบทรายอย่างเมามัน ตุ๊บๆ ตั๊บๆ อัดจนหอบแล้วก็หันมาทางสุพรรณิการ์ที่ยืนอยู่ห่างออกไป สุพรรณิการ์อยู่ในชุดเสื้อกล้ามของโรงยิม รวบผม ใส่นวม เตรียมพร้อมลุย
“ฝ้าย..พร้อมมั้ย” วัชระพูดไปหอบไป
สุพรรณิการ์พยักหน้า แล้วก็เดินมา
วัชระสอนไป หอบไป

“เดี๋ยวจะสอนให้ก่อน ในการชกมวยเรามีการชกหลายแบบ แบบแรกที่เป็นพื้นฐานสำคัญคือ...” วัชระยังพูดไม่ทันจบ สุพรรณิการ์ซัดหมัดตรง ทั้งหมัดฮุค เข้าที่กระสอบทรายอย่างหนักแน่น ช่ำชอง รุนแรง และรวดเร็ว
“เฮ้ย” วัชระตกใจ
สุพรรณิการ์ยังรัวกระสอบทรายอย่างเมามัน วัชระมองด้วยความอึ้ง สุพรรณิการ์จบไปหนึ่งชุด แล้วก็หยุดหันมาหอบใส่
“เป็นไง..พอใช้ได้ปะ”
วัชระทึ่ง...แล้วยิ้ม
“ใช้ได้เลย ใช่เลย แบบนี้เลย สุดยอด”
วัชระยิ้มกว้างด้วยความชอบใจ สุพรรณิการ์หอบไปยิ้มไป
สุพรรณิการ์และวัชระปีนหน้าผา ยิงปืน และชกมวยด้วยกันอย่างสนุกสนาน
บริเวณหน้าผาจำลอง สุพรรณิการ์และวัชระต่างคนต่างปีนด้วยความสนุกสนาน สุพรรณิการ์ปีนด้วยความ
ชำนาญ วัชระคล่องแคล่วไม่แพ้กัน ต่างคนต่างปีนไม่มีใครยอมใคร และขึ้นไปถึงด้านบนสุดของกำแพง
พร้อมๆกัน ก่อนจะหย่อนตัวกระโดดลงมาอย่างชำนาญ
ที่สนามยิงปืน สุพรรณิการ์หัดยิงโดยมีวัชระสอนอย่างใกล้ชิด จากนัดแรกที่ห่างเป้ามากมาย จนสุดท้ายก็เกือบจะเข้ากลางเป้า สุพรรณิการ์หยิบมาดูด้วยความตื่นเต้น
วัชระยิ้มด้วยความพอใจแววตาบอกว่า “โคตรใช่เลย”

ข้าวหมูแดง 2 จานยักษ์ ถูกนำมาวางบนโต๊ะ ต่อหน้าสุพรรณิการ์และวัชระที่เวลานี้อยู่ในร้านข้าวหมูแดง
“หมูกรอบมันเยอะ ใครครับ” เฮียคนขายถาม
“ทางนี้เลยเฮีย” สุพรรณิการ์บอก
คนขายวางจานที่หมูเน้นมันไว้ตรงหน้า สุพรรณิการ์ตั้งท่าจะกินอย่างหิว วัชระมองแล้วก็ถาม
“กินมันๆ ไม่กลัวอ้วนเหรอ”
“กลัวทำไม กินได้ ก็ออกกำลังได้ กินแค่นี้ ไปวิ่งสักสองชั่วโมงก็หมดแล้ว”
“โห วิ่งสองชั่วโมง อึดนะเนี่ย ถึงว่าทั้งชกมวย ยิงปืน ปีนหน้าผา ไม่บ่นสักคำ”
“แน่นอน ฉันชอบออกกำลังกาย และฉันก็ชอบกิน ฉันไม่มีวันยอมให้ความกลัวอ้วนมาเป็นอุปสรรคต่อการกินเด็ดขาด”
สุพรรณิการ์พูดจบก็ตักข้าวหมูแดงกินอย่างเอร็ดอร่อย วัชระมองด้วยความเอ็นดูแล้วก็นึกได้
“เออ..คุณยังไม่บอกเลย ตอนบ่ายจะพาผมไปทำอะไร ที่ไหน”

ช่วงบ่าย สุพรรณิการ์พาวัชระมาที่โรงเรียนสอนลีลาศ วัชระหันขวับมาทางสุพรรณิการ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ
“พาผมมาโรงเรียนลีลาศเนี่ยนะ อย่าบอกนะว่าจะให้ผมเรียนเต้นรำ”
“ถูกต้องที่สุด !! และฉันก็นัดคุณครูเอาไว้แล้ว ไป”
สุพรรณิการ์ลากวัชระเข้าไป วัชระขืนตัวไว้
“เดี๋ยว!! เอาจริงเหรอ”
สุพรรณิการ์หันมากรอกตา
“อย่ามาทำใจเสาะ ฉันให้ครูเค้าเตรียมสอนเพลงของสุนทราภรณ์ไว้ด้วยนะ ต่อไปตอนฟังเพลง เราจะได้เต้นรำตามไปด้วยไง”
วัชระชะงักฟังแล้วก็คิดเห็นด้วย
“เออ น่าสนใจ”
“สิ่งที่ฉันคิดว่ามันก็ต้องน่าสนใจอยู่แล้ว ไป”
วัชระเดินตามไปแต่โดยดี

สุพรรณิการ์และวัชระอยู่ในห้องเรียนเต้นรำโดยมีอาจารย์คอยสอนอยู่หนึ่งคน ภายในห้องเปิดเพลง “เริงลีลาศ” ของวงสุนทราภรณ์ ทั้งสองคนอยู่ในอาการเก้อๆ เขินๆ และเริ่มเต้นตาม เต้นผิด เต้นถูก เต้นไปเหยียบขากันไป เต้นไปหัวชนกันไป หันผิดหันถูก ทุลักทุเลมาก จากนั้นก็ค่อยๆดีขึ้น เริ่มเข้ากันได้มากขึ้น และก็ดีขึ้น ดีขึ้น ดีขึ้น จนพอจะหมุนตัว หมุนเข้า หมุนออก หมุนไป หมุนมา อย่างคล่องแคล่ว สนุกสนาน และเข้ากันได้เป็นอย่างดี

จังหวะหนึ่งสุพรรณิการ์หมุนตัวเข้ามา อยู่ในอ้อมกอดของวัชระอย่างสวยงาม
ภายในบ้านของจามจุรี ลำเภาเดินถือเอาหม้ออาหารน้องหมามาวางลงบนโต๊ะ ธีธัชยื่นหน้าเข้ามาดม

“น่ากินจัง”
ธีธัชพูดพลางหันไปหยิบช้อนจะจ้วงตักกิน ลำเภาดึงช้อนออก
“ของน้องหมา อย่ามาแย่งสิ อยากกินเดี๋ยวทำให้”
ธีธัชหันมาซบไหล่อ้อน
“แฟนใครน้า น่ารักที่สุด ขอบคุณค้าบ”
ลำเภาเอาช้อนเคาะหัวดังโป๊ก ธีธัชร้องโอ้ย
“แฟนใครน้า ขี้อ้อนที่สุดเลย” ลำเภาย้อน
“ก็แฟนน่ารัก น่าอ้อน ก็เลยอยากอ้อนอ่ะ”
ลำเภาส่ายหน้าทำเป็นเลี่ยนๆ แต่ก็อมยิ้ม ลำเภาตักอาหารหมาให้เป็นต่อ และพอใจแล้วก็เรียกมาหม่ำ
“เป็นต่อ พอใจ หม่ำๆลูก”
น้องหมา 2 ตัววิ่งดุกๆเข้ามากินอย่างเอร็ดอร่อย ลำเภายืนมองแล้วก็ยิ้ม ธีธัชมองเภาแล้วก็ยิ้มตามในความ
น่ารัก แล้วก็พูดขึ้น..เหมือนมันลอยออกมาจากจิตใต้สำนึก
“เภา...ฉันอยากทำงาน”
ลำเภาหันขวับมา
“ว่าไงนะ”
“ฉันอยากทำงาน .. อยากมีอาชีพที่มันมั่นคงมากกว่าเก็บค่าเช่า กินสมบัติเก่าของพ่อแม่”
“แน่ใจนะว่าไม่ได้ละเมอ”
“พูดจริงๆ แล้ว ฉันก็รู้แล้วด้วยว่าฉันอยากทำอะไร” ธีธัชหน้าตาจริงจัง
“ทำอะไร” ลำเภาขมวดคิ้ว

แบบแปลนบ้านน้องหมาที่ธีธัชร่างขึ้นคร่าวๆ ถูกวางไว้บนโต๊ะ 3-4 แบบ ลำเภาหยิบมาดูด้วยความแปลกใจ ลำเภาดูภาพไปด้วยความทึ่ง ธีธัชอธิบาย
“นี่คือบ้านสำหรับน้องหมา เป็นบ้านที่ทำขึ้นมาเพื่อเค้าโดยเฉพาะ เราจะต้องทำการวัดขนาด และศึกษาพฤติกรรมของเค้าก่อนแล้วจึงจะออกแบบเพื่อให้เข้ากับนิสัย และที่สำคัญ..เรามีบ้านลอยน้ำ สำหรับผู้ที่อยู่ในพื้นที่ต่ำ เสี่ยงต่อน้ำท่วม ถ้าน้ำมาเมื่อไหร่ บ้านจะกลายเป็นเรือสำหรับน้องหมาทันที”
“ออกแบบเองทั้งหมดเลยเหรอเนี่ย”
“ใช่..เก่งปะล่ะ จริงๆ เรียนจบสถาปัตย์นะเนี่ย ไม่คิดล่ะสิว่าจะมีปัญญาเรียน”
“มีฝีมือขนาดนี้ ทำไมไม่ไปทำงานทำการ”
“ไม่มีแรงบันดาลใจมั้ง”
ลำเภามองหน้าธีธัช
“ไม่ต้องทำงานก็มีเงินใช้ ก็ไม่รู้จะทำงานไปทำไม แต่พอคบกับเภา อยู่ๆ มันก็อยากทำอะไรที่มันเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา อยากทำให้เภามั่นใจว่าเราจะดูแลเภาได้”
ลำเภามองหน้าธีธัชด้วยความซาบซึ้งใจ
“ซึ้งอ่ะดิ พูดเองยังซึ้งเองเลย” ธีธัชได้ที
ลำเภายิ้มตาม
“ถ้าทำแล้วไม่รู้สึกว่าฝืนก็ทำ เภาจะเป็นที่ปรึกษาและเป็นกำลังใจให้เอง”
เป็นต่อกับพอใจส่งเสียงเห่าขึ้น
“เป็นต่อกับพอใจก็เป็นกำลังใจให้ด้วยนะ”
“ขอบใจมากนะเภา ขอบใจจริงๆ ที่ทำให้เราอยากเป็นผู้เป็นคนกับเค้าสักที ขอบใจมาก”
ธีธัชยิ้มอย่างจริงใจ ลำเภายิ้มรับเขินๆ บรรยากาศในบ้านอบอวลไปด้วยความรัก
ธีธัชหันมาหยิบแบบบ้านหมาที่ตัวเองร่างไว้ขึ้นมาดูด้วยแววตามุ่งมั่น... เอาวะ ลุยดูสักที !

สุพรรณิการ์และวัชระนั่งอยู่ที่โต๊ะริมระเบียงของร้านสาดสุรา ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้อย่างหมดแรง ยังหัวค่ำคนไม่พลุกพล่าน
“โอ้ย...เมื่อยขามาก ขาจะหลุดมั้ยเนี่ย”
“เป็นไงล่ะ ตอนเช้าปีนเขา ต่อยมวย ตอนบ่ายลีลาศเข็ดหรือยัง”
“คนอย่างนังฝ้าย ไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกน่า...แค่เมื่อยขา นวดน้ำมัน เดี๋ยวก็หาย ว่าแต่ผู้กองเหอะ กล้าไปรอบสองหรือเปล่า”
“สบายมากอยู่แล้ว แค่เต้นรำ ชิลล์ ขำๆ ไม่ต้องใช้ความกล้าแม้แต่นิดเดียว ดูซะก่อน เป๊ะทุกสเต็ป หนึ่งสอง หนึ่งสองสาม” วัชระพูดตามที่ไปเรียนมาพร้อมเต้นตาม
สุพรรณิการ์เห็นแล้วก็ขำ วัชระเต้นอย่างมั่นใจ สุพรรณิการ์ก็หัวเราะอย่างมีความสุข
ทันใดนั้นเองเสียงเนตรนภัสก็ดังขึ้น
“ขอโทษที่เข้ามาขัดจังหวะ”
วัชระหยุดเต้นทันที สุพรรณิการ์หยุดหัวเราะหันขวับมาทางเนตรนภัส
“แหนม”
เนตรนภัสเดินเข้ามา
“ขาหายแล้วเหรอ”
“หายแล้ว เอ่อ...บังเอิญจัง แหนมมาเที่ยวเหรอ”
“เปล่า...แหนมตั้งใจจะมาหาวัช”
วัชระชะงัก สุพรรณิการ์ยืนขึ้น
“เชิญคุณสองคนคุยกันตามสบาย”
สุพรรณิการ์จะเดินไป วัชระเรียกไว้
“ฝ้าย”
เสียงเนตรนภัสแทรก
“ฉันขอคุยกับ “แฟนคุณ” ไม่นานค่ะ คุยจบแล้ว ฉันจะคืนให้”
สุพรรณิการ์และวัชระชะงักหันมามองหน้ากัน สุพรรณิการ์พยักหน้าทำนองว่าไม่เป็นไร แล้วก็เดินไป เนตรนภัสมองหน้าวัชระ สุพรรณิการ์เดินเข้าไปในร้านแต่แอบกังวลอยู่ในใจ
เนตรนภัสเดินมาหาวัชระ
“ดูวัชมีความสุขมากนะคะ ไม่เหมือนกับตอนอยู่กับแหนม”
“แหนมเอง ก็ดูดี มีราศี ใบหน้าไม่คร่ำเครียด เหมือนตอนที่อยู่ กับผม บางที การที่เราสองคนแยกกัน มันอาจจะดีกับเราทั้งคู่”
เนตรนภัสยิ้มรับ
“แหนมคิดนานเหมือนกันว่าจะมาหรือไม่มาดี สุดท้ายก็ตัดสินใจมา เพราะต้องการจะให้โอกาสตัวเอง”
วัชระขมวดคิ้วแปลกใจ
“แหนมไม่อยากมีชีวิตอยู่โดยมีความเกลียดชังอยู่ในใจ แหนมมาเพื่อจะบอกว่า..ถึงเราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้”
“ใช่..เรามีความทรงจำดีๆด้วยกัน ถึงวันนี้ไม่ได้เป็นแฟนกัน เราก็ไม่จำเป็นต้องเกลียดกัน ผมเองก็อยากเห็นแหนมมีความสุข อยากให้แหนมได้เจอคนดีๆ ผมแน่ใจว่าเค้าต้องดี และเหมาะสมกับแหนมมากกว่าผม”
“เค้าชื่อมาร์คค่ะ”
“หือ”
“ผู้ชายที่เข้ามาจีบแหนมน่ะ เค้าชื่อมาร์ค..เราไปกินข้าวกันครั้งสองครั้งแล้ว คุณแม่กับนุ้ยก็ไปด้วย เค้าก็น่ารักดีนะ”
“แล้วเค้าดีกับแหนมหรือเปล่า” วัชระถามอย่างห่วงใย
“ก็ดีนะ ทุ่มเทดี”
“ดีแล้ว..ผมเอาใจช่วยนะแหนม”
เนตรนภัสกับวัชระยิ้มให้กันด้วยความจริงใจ
“ขอบใจมาก ตลกดีนะ ตอนคบกันทะเลาะกันจะเป็นจะตาย แต่พอเลิกกัน กลับพูดกันดีกว่าเดิม”
วัชระพยักหน้าเห็นด้วย แล้วก็พูดด้วยความเสียงจริงจัง
“ผมเสียใจที่เราต้องจากกัน แต่ชีวิตเรายังต้องดำเนินต่อไป และอาจจะดีกว่าเดิม โดยเฉพาะ ชีวิตแหนม” วัชระยิ้มให้กำลังใจ
เนตรนภัสยิ้มรับ สองคนยิ้มให้กันด้วยมิตรภาพที่สวยงาม

อ่านสามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 23/4
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์