อ่านดุจดาวดิน ตอนที่ 2/3
ปานฟ้ากำลังขับรถมาเรื่อยๆ จังหวะหนึ่งเธอหันมามองภาคินที่เงียบขรึมไป
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ว่าแต่เรื่องที่เราคุยค้างกันไว้เมื่อวาน”
“อ๋อ...คืออย่างนี้ค่ะ...ฉันกำลังตามหาหลานชายที่หายไป”
ภาคินหันมาสนใจ
“หลานชาย”
“ค่ะ...เป็นลูกชายของพี่ปานเดือนชื่อทินภัทร...”
เฟื่องแก้วเดินมาถึงหน้าห้องภาคิน มองนาฬิกาข้อมือตัวเอง ลังเลก่อนยกมือจะเคาะประตูแต่ยกค้างเพราะเสียงบุญทิ้งดังมา
“พี่ภาคินยังไม่กลับเข้ามาเลยครับ”
เฟื่องแก้วหันไปมองเห็นบุญทิ้งหอบกล่องดินสอ กล่องสีหลายกล่องพร้อมกระดาษวาดรูปยืนอยู่
“แล้วนี่จะเอาอุปกรณ์วาดรูปไปไหนน่ะ หอบเป็นบ้าหอบฟางเชียว เดี๋ยวก็ตกเลอะเทอะหมดหรอก ซนเหมือนกันนะเรา” เฟื่องแก้วถามอย่างหงุดหงิด
“ผมเปล่าซนนะครับ แค่จะเอาไปให้เพื่อนๆ ลองฝึกวาดกันก่อนวันจริงนะครับพี่แก้ว”
เฟื่องแก้วงงๆ
“ฝึกทำไมกัน พูดยังกับว่าจะไปประกวดที่ไหนกันอย่างนั้นแหละ”
“อ้าวนี่พี่แก้วไม่รู้เรื่องเหรอครับ ก็พี่ภาคินจะพาพวกเราไปวาดรูปประกวดที่ห้างสรรพสินค้าของพี่ฟ้าไงครับ”
เฟื่องแก้วพยักหน้าเข้าใจพึมพำ น้ำเสียงดีขึ้น
“อ๋อ...ที่แท้คุณภาคินไปกับคุณปานฟ้าเรื่องนี้เอง โธ่เอ๊ย...คิดมากไปได้”
เฟื่องแก้วขำตัวเอง หันมาลูบหัวบุญทิ้งอย่างอารมณ์ดี
“มา...ให้พี่ช่วยนะจ๊ะ...เอ๋ว่าแต่จะวาดรูปอะไรกันดีล่ะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ช่วยคิดก็แล้วกัน”
เฟื่องแก้วดึงของในมือบุญทิ้งไปช่วยถือยิ้มแย้ม บุญทิ้งมองแล้วเกาหัวตัวเองอย่างงงๆ
รถก้องภพกำลังจอดติดไฟแดง วิมลวรรณบ่นอย่างหงุดหงิด
“มันจะติดอะไรกันนักกันหนานะ เดี๋ยวก็ไปประชุมไม่ทันกันพอดี”
“ที่จริงคุณแม่น่าจะใช้รถที่บ้านนะครับ ไม่น่าให้ผมขับมาให้เลย เซ็งชะมัด”
“แหมตาภพ...เวลาขอเงินแม่ไม่เห็นบ่นแบบนี้เลย”
ก้องภพหัวเราะขำ แล้วก็หัวเราะค้างเมื่อเห็นรถปานฟ้าขับผ่านมาจากอีกฝั่ง ปานฟ้ากำลังคุยกับภาคิน สองคนหัวเราะกัน ก้องภพตาเหลือกตกใจมาก
“มองอะไรลูก...”
ก้องภพหันกลับมาหงุดหงิด
“ปานฟ้าครับแม่...ทำไมถึงมากับไอ้ภาคินได้”
วิมลวรรณตกใจ
“ฮ้า...ลูกมองผิดหรือเปล่า มันจะเป็นไปได้ยังไง”
“แต่มันเป็นไปแล้วนี่แม่...โธ่เว้ย”
ก้องภพหงุดหงิดจนเผลอตบลงไปที่แตรรถเสียงดังลั่นขึ้นมา แท็กซี่คันหน้าโมโหลงมาโวย
“รถมันติดไฟแดงไม่เห็นเหรอไอ้โง่ บีบทำไมว่ะ”
ก้องภพฉุนมาก กดแตรซ้ำเปิดกระจกตะโกนกวนสุดๆ
“รถฉันฉันจะกดแกจะทำไม”
“อ้าวพูดหมาๆแบบนี้ แน่จริงลงเลยสิไอ้หนู”
ก้องภพทำท่าจะลงไป วิมลวรรณต้องทั้งดึงทั้งห้ามชุลมุนวุ่นวาย
“ไม่เอานะตาภพ นั่นไฟเขียวแล้วไปเถอะลูก อย่าเอาทองไปลู่กระเบื้องเลย...ไปสิก้องภพแม่บอกให้ออกรถไงล่ะ”
ก้องภพเหยียดยิ้มกวนสุดๆ ก่อนจะหักรถออกไปอีกทาง ปล่อยให้แท็กซี่ตะโกนด่าลั่นถนน
รถปานฟ้ามาจอดที่หน้ามูลนิธิ ภาคินลงมาแล้วเดินอ้อมด้านคนขับ ปานฟ้ากดกระจกลง
“ผมจะลองประสานกับตำรวจให้ คิดว่าหมวดตุลย์น่าจะช่วยได้เยอะ”
“ขอบคุณมากนะค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“อย่าลืมพาเด็กๆไปร่วมกิจกรรมนะคะ”
“ครับ...กิจกรรมดีๆแบบนี้ผมไม่ลืมแน่...ขับรถดีๆนะครับ”
ปานฟ้ายิ้มก่อนจะออกรถไป ภาคินมองตามจนรถปานฟ้าลับไป จึงเดินเข้าไปในมูลนิธิไป
ภาคินเห็นเฟื่องแก้วกำลังดูแลบุญทิ้งและเด็กๆวาดรูป ท่าทางเด็กๆมีความสุข ภาคินมองอย่างพอใจ บุญทิ้งเงยหน้าจากรูปที่กำลังวาดหันไปทักภาคิน
“พี่ภาคินกลับมาแล้วเหรอครับ”
เฟื่องแก้วรีบหันไปมองแล้วลุกขึ้นอย่างดีใจ
“คุณภาคิน...”
“เด็กๆวาดรูปเป็นยังไงบ้างแก้ว”
“ก็วาดใช้ได้กันทุกคนนะคะ...แต่มีอยู่คนหนึ่งวาดได้ดีมากเลยค่ะขนาดที่แก้วคิดว่า ถ้าไม่ได้ที่หนึ่งก็ต้องที่สองละคะ”
ภาคินแปลกใจ
“ขนาดนั้นเชียว...ใครกันน้า”
เฟื่องแก้วเดินไปที่บุญทิ้งๆยิ้มๆ ภาคินเดินไปดูจับหัวบุญทิ้งโยก
“เรานะเหรอไอ้หนูไหนดูสิ...พี่แก้วเค้าพูดเกินความจริงหรือเปล่า”
ภาคินเห็นรูปที่บุญทิ้งกำลังระบายสี เป็นรูปแม่กำลังกอดลูก มีตัวหนังสือโย้เย้เขียนไว้ใต้ภาพ
“ไม่มีอ้อมกอดไหน จะอบอุ่นเท่าอ้อมกอดของแม่”
ภาคินอึ้งนิ่งไป
ภาคินหยิบรูปในกระเป๋าเงินซึ่งเป็นรูปตอนเด็ก ในรูปเขากำลังยิ้มอยู่ในอ้อมกอดของแม่แต่กัญญาหันหลังไม่เห็นหน้า เขานั่งมองอย่างเศร้ามาก พึมพำเบาๆ
“แม่ครับ...ผมไม่รู้ว่าทำไมแม่ถึงทิ้งผมไป แต่ผมอยากเจอแม่เหลือเกิน”
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น กัญญาอยู่ในห้องพักเล็กๆ กำลังมองรูปภาคินที่ได้มาจากป้านุ่ม กัญญาเช็ดน้ำตา
“ลูกแม่...”
เสียงเคาะประตู พร้อมกับเสียงเรียกของคนในคณะดังขึ้น
“แม่กัญญากินข้าว...”
กัญญารีบเก็บรูปลูกชายลงกล่องขนมปังเก่าๆซ่อนไว้ใต้ตู้เสื้อผ้า ก่อนจะตะโกนบอกไป
“จ้ะ...ไปเดี๋ยวนี้แหละจ๊ะ”
ปานฟ้ายืนมองป้ายกระดาษประชาสัมพันธ์ เชิญชวนเด็กๆ มาร่วมกิจกรรมวาดรูป ตั้งอยู่ ใกล้ๆ บันไดเลื่อนภายในห้างสรรพสินค้า เธอพยักหน้าพอใจหันมาคุยกับพนักงานที่ยืนรออยู่ข้างหลัง
“ใช้ได้...มีทุกชั้นหรือเปล่า”
“ค่ะ...เราติดในลิฟต์ทุกตัวด้วยค่ะคุณปานฟ้า”
“ดีจ้ะ...แล้วเรื่องสถานที่ตกลงจัดชั้นสองใช่มั้ย”
“ค่ะ”
ปานฟ้าพอใจเดินตรวจงานไปพร้อมกับพนักงาน กนั้นได้เดินกลับมาที่ห้องทำงาน เลขาหน้าห้องรีบลุกขึ้นบอก
“คุณปานฟ้าคะ มีแขกมารอพบอยู่ในห้องค่ะ”
ปานฟ้าแปลกใจ
“ใคร...”
“คุณก้องภพค่ะ”
ปานฟ้าถอนใจเบื่อๆ
“เธอไม่ได้บอกเขาเหรอว่าฉันไม่ว่าง เธอก็รู้นี่ว่าอีกสิบห้านาทีฉันต้องเข้าประชุม”
เลขาหน้าเสีย
“ดิฉันบอกแล้วค่ะ แต่คุณก้องภพบอกว่ามีเรื่องสำคัญมาก ต้องคุยกับคุณปานฟ้าให้ได้ค่ะ ดิฉันก็...”
ปานฟ้าตัดบท
“เอาล่ะ...ฉันเข้าใจแล้ว”
ปานฟ้าเปิดประตูเข้าไปอย่างข่มใจเต็มที่ ก้องภพหมุนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานปานฟ้าหันมาทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิด ปานฟ้าฝืนยิ้มตามมารยาท
“มีอะไรด่วนกับฉันเหรอคะภพ เดี๋ยวฉันต้องเข้าประชุม”
ก้องภพลุกขึ้นถามห้วนๆ
“เมื่อตอนบ่ายคุณไปไหนมา ปานฟ้าชะงัก ก่อนจะหัวเราะเหมือนขำทั้งๆที่หน้าเรียบเฉยมาก
“อ๋อ...เพิ่งรู้ว่าฉันจะไปไหนมาไหน ต้องรายงานคุณด้วยเหรอคะ”
ก้องภพไม่สน เสียงแข็งกว่าเดิม
“ถ้าคุณไปกับคนอื่นผมไม่ว่า แต่นี่คุณไปกับไอ้ภาคิน...”
ปานฟ้าไม่พอใจ
“กรุณาสุภาพหน่อยค่ะก้องภพ คุณภาคินเขาเป็นพี่คุณนะ”
“ผมไม่เคยนับญาติกับมัน”
เสียงโทรศัพท์มือถือปานฟ้าดังขัดจังหวะ ปานฟ้าดูเบอร์แล้วรีบรับ
“ค่ะพี่รุทธิ์...อะไรนะคะ ค่ะฟ้าจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้”
ปานฟ้าวิ่งไปที่โต๊ะคว้ากระเป๋า จะวิ่งออกจากห้อง ก้องภพเข้ามาขวาง
“เดี๋ยวสิฟ้า...เรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง”
ปานฟ้าจ้องก้องภพเสียงจริงจังมาก
“สำหรับฉันตอนนี้ ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าพี่เดือนแล้วค่ะ”
ปานฟ้าวิ่งออกไป ทิ้งให้ก้องภพหันรีหันขวางอย่างฉุนมาก สุดท้ายเดินไปกวาดนิตยสารบนโต๊ะรับแขกตกกระจายเกลื่อน ก่อนจะทิ้งตัวนั่งอย่างหงุดหงิด
“โธ่เว้ย...”
ปานฟ้าวิ่งเข้ามาในบ้านอย่างรีบร้อน ตรงมาที่สายอุษา อนิรุทธิ์ที่รออยู่อย่างกระวนกระวาย ป้าแก้วนั่งหน้าซีดอยู่มุมหนึ่ง
ปานฟ้าจับมือสายอุษาหน้าซีดเผือดน้ำเสียงร้อนรน
“จะทำยังไงดียัยฟ้า...โธ่แม่เดือนของแม่”
“ใจดีๆไว้นะคะคุณแม่ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นคะ”
สายอุษาหันไปมองอนิรุทธิ์ ที่ร้อนใจไม่แพ้กันเป็นเชิงให้เล่า
“พี่ก็เพิ่งกลับมาครับ ป้าแก้วแกอยู่กับคุณเดือนเป็นคนสุดท้าย บอกว่าเห็นคุณเดือนหลับ แกก็เลยออกไปเข้าห้องน้ำ พอกลับเข้ามาก็ไม่เห็นคุณเดือนแล้ว”
ปานฟ้าหันไปมองป้าแก้ว
“ทีแรกป้าก็เข้าใจว่าเธอลงมาเดินเล่นค่ะ แต่หาจนทั่วแล้วก็ไม่มี” ป้าแก้วทำท่าจะร้องไห้ “ป้าขอโทษค่ะ...ขอโทษจริงๆที่ดูแลคุณเดือนไม่ดี ทั้งๆที่คุณๆก็สั่งไว้แล้วว่าไม่ให้ทิ้งเธอไปไหน”
“ช่างเถอะป้า ไม่ใช่ความผิดของป้าหรอก”
ปานดาวรีบแทรกอย่างหมั่นไส้
“ทำไมจะไม่ผิด...ผิดมากเชียวแหละแบบนี้มันสมควรไล่ออก”
ป้าแก้วสะดุ้ง หน้าซีด
“ป้าแก้วแกเป็นแค่คนใช้ แต่แกก็คอยดูแลพี่เดือนมาตลอด ตั้งแต่พี่เดือนไม่สบาย แล้วพี่ดาวละคะ พี่ดาวเป็นพี่แท้ๆวันๆฟ้าก็ไม่เห็นพี่ทำอะไร ทำไมไม่เคยมาช่วยดูแลพี่เดือนบ้าง ถ้าพี่ดาวสนใจใส่ใจพี่เดือนบ้าง พี่เดือนก็คงไม่หายไปหรอกค่ะ”
ปานเดือนโต้อย่างเหลืออด ปานดาวโมโหพูดเสียงดัง
“เอ๊ะ...ยัยฟ้านี่เธอว่าฉันเหรอ”
“ฟ้าไม่ได้ว่าแต่ฟ้าพูดความจริง พี่เดือนไม่สบายขนาดนี้ ฟ้าไม่เคยเห็นพี่ดาวจะรู้สึกรู้สมอะไร ดีแต่คอยพูดย้ำแต่ว่าพี่เดือนเป็นบ้า”
“ก็แล้วมันบ้าจริงมั้ยล่ะ”
สายอุษาทนไม่ไหว
“พอ...พอทีเถอะ ยัยดาวถ้าลูกไม่ห่วงน้อง ก็กลับเข้าห้องตัวเองไปซะ ส่วนฟ้ากับพ่อรุทธิ์ก็รีบช่วยกันออกตามหายัยเดือนเถอะ อย่ามัวแต่เถียงกันอยู่เลย”
“แล้วนี่คุณพ่อว่ายังไงคะ”
“แม่ไม่ได้บอกเพราะคุณพ่อหลับอยู่...แม่กลัวโรคหัวใจกำเริบขึ้นมาอีก”
“ดีแล้วค่ะ...ถ้าอย่างนั้น อย่าให้คุณพ่อรู้ว่าพี่เดือนหายไป”
ปานฟ้าหันไปทางอนิรุทธิ์
“แยกกันไปแล้วกันนะคะพี่รุทธิ์...ถ้าใครได้เรื่องยังไงส่งข่าวด้วย”
“ครับ...”
ปานฟ้ากับอนิรุทธิ์ พากันวิ่งออกไปอย่างรีบร้อน สายอุษาถอยไปทรุดนั่งอย่างหมดแรง
ปานดาวบ่นต่อ...
“คุณแม่คะ...ยัยฟ้าชักจะเอาใหญ่แล้วนะคะ พูดจากับดาวไม่มีความเกรงอกเกรงใจ คุณแม่ต้องจัดการให้ดาวนะคะ”
สายอุษามองหน้าปานดาวนิ่งๆ ก่อนจะพูดเรียบๆ
“เวลานี้แม่ไม่อยากฟังเรื่องอะไรทั้งนั้น แก้วพาฉันขึ้นข้างบนที”
ป้าแก้วลุกเข้ามาประคองสายอุษาพาขึ้นบันไดไปช้าๆ ปานดาวมองตามขึ้นไปอย่างไม่พอใจ
ภูวดลรออยู่ในห้องอย่างร้อนใจ เห็นปานดาวเปิดประตูเข้ามาหน้าตาบูดบึ้งก็เข้าไปถาม
“เป็นยังไงบ้างคุณดาว...มีใครสงสัยอะไรมั้ย”
ปานดาวเดินผ่านไปนั่งที่เตียง ค่อนข้างแรงเสียงเหี้ยม
“รู้มั้ยภู...ฉันไม่เคยเสียใจสักนิดเดียว ในสิ่งที่ฉันทำกับนังเดือน ไม่ว่าจะกับลูกของมันหรือกับตัวมัน”
ภูวดลแอบยิ้ม ก่อนจะเดินมานั่งตรงหน้าจับมือปานดาวขึ้นมาจูบ
“คุณแม่คุณคงพูดอะไร ให้คุณสะเทือนใจอีกละสิ”
ปานดาวน้ำตาคลอ
“บางทีนะ...บางทีฉันก็เคยคิดเล่นๆว่า ฉันอาจไม่ใช่ลูกคุณพ่อกับคุณแม่ก็ได้ ทำไมคะภูแค่ฉันเรียนหนังสือไม่เก่ง เพราะฉันไม่ชอบเรียน แค่ฉันต้องออกจากมหาลัยกลางคัน เพราะฉันได้พบรักแรกของฉันคือคุณเนี่ย ฉันผิดตรงไหนเหรอคะ”
ภูวดลลูบมือปลอบอ่อนโยน
“ที่รัก...คุณไม่ผิดเลยสักนิดเดียว”
ปานดาวพล่ามต่ออย่างเจ็บใจ
“หึ...นังเดือนกับนังฟ้ามันดีกว่าฉันตรงไหน แค่นังเดือนมันจบเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง นังฟ้ามันจบจากนอก แล้วเป็นไงนังเดือนก็ไม่เห็นจะได้ผัววิเศษตรงไหน ทำเป็นขยันทำงานโธ่เอ๊ยก็อยากจะได้สมบัตินั่นแหละ”
“ใช่...ผมนะเป็นคนไม่ชอบประจบสอพลอ ไม่อย่างนั้นผมก็ไปทำงานที่ห้างแล้ว พอผมไม่ไปทำงานคุณพ่อ คุณแม่คุณก็กลับไม่ชอบหน้าผมอีก ผมบอกตรงๆว่าผมนะทำตัวไม่ถูกเลย”
ภูวดลเช็ดน้ำให้ปานดาว แล้วกระซิบถาม
“ว่าแต่ว่าตอนคุณเข้าไปในห้องปานเดือนนะ ไม่มีใครเห็นแน่น่ะ”
ปานดาวพยักหน้า นึกถึงเหตุการณ์ก่อนที่ปานเดือนจะหายไป
ปานดาวเดินมาตามทางเดินชั้นบน ชะงักเมื่อเห็นป้าแก้วกำลังออกมาจากห้องปานเดือนพอดี เธอรีบหลบแอบข้างเสาต้นใหญ่ รอจนป้าแก้วลงไปข้างล่าง ปานดาวยิ้มร้ายกาจมองไปที่ห้องปานเดือน แล้วรีบเดินไปที่หน้าห้อง มองซ้ายขวาไม่เห็นใคร เปิดประตูเข้าไป
ปานดาวค่อยๆย่องเข้าไปที่เตียงซึ่งปานเดือนหลับอยู่ เธอมองน้องสาวอย่างเกลียดชัง พึมพำเบาๆ
“ลูกแกก็ไปตั้งนานแล้ว แกยังจะมาอยู่เป็นมารทำไมกัน...ตั้งแต่แกไม่สบาย คุณพ่อคุณแม่ก็ยิ่งประคบประหงมเอาใจใส่ดูแลแก ยังกับไข่ในหินเชียวนะ...แกเกิดมาโชคดีจริงๆปานเดือนไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหนก็มีแต่คนรุมรัก...”
ดางตาปานดาววาวโรจน์ด้วยความเกลียด ค่อยๆนั่งลงข้างๆ เขย่าตัวกระซิบกระซาบ
“เดือน...ปานเดือนตื่นเถอะ...เดือน”
ปานเดือนงัวเงียลืมตา ขยับลุกขึ้นมองปานดาวแบบงงๆ
“มาปลุกฉันทำไม”
ปานดาวยิ้มพูดอ่อนหวาน
“เธออยากพบลูกไม่ใช่เหรอ”
ปานเดือนเปลี่ยนเป็นกระตือรือร้น
“ใช่ฉันอยากพบลูก...”
“อยากพบลูก ก็ออกไปตามหาลูกสิ”
ปานเดือนนิ่งคิด ปานดาวยุต่อ
“ไปสิ...ออกไปเลย...ไปตามหาลูก ป่านนี้ลูกเธอรอแย่แล้วล่ะ”
ปานเดือนพยักหน้าพูดคนเดียว
“ใช่...ใช่...ลูกรอฉัน...ฉันต้องออกไปหาลูก”
ปานดาวสะใจมาก…ภูวดลโอบปานดาวเข้ามากอด เมื่อฟังเรื่องที่เธอเล่า
“เมียผมเนี่ยเก่งจริงๆ”
ปานดาวยิ้มรับคำชมอย่างพอใจ ด้วยท่าทางของผู้ชนะ ภูวดลลอบมองเมียรักด้วยสีหน้าและแววตาที่ดูถูก ไม่มีร่อยรอยของความชื่นชมเหลืออยู่เลย
ปานฟ้ารถไปเห็นผู้คนเดินขวักไขว่ริมถนน เธอชะลอรถให้ช้าลง พยายามมองหาปานเดือน
“พี่เดือน...พี่ไปไหนเนี่ย”
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ปานฟ้ากดบลูทูธ
“ค่ะพี่รุทธิ์...ฟ้าก็ยังไม่เจอเลย...ฟ้าก็คิดไม่ออกนะคะว่าพี่เดือนจะไปที่ไหนได้ พี่เดือนไม่ได้ออกไปไหนมาไหนมานานแล้วนะค่ะ ค่ะ...ค่ะ...”
ปาฟ้ากดปิดการติดต่อ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก เธอกดรับ
“ว่าไงคะพี่รุทธิ์...” ปานฟ้าแปลกใจ “คุณภาคิน”
ปานฟ้าฟังปลายสายอย่างตื่นเต้น
สายอุษานั่งอยู่ข้างเตียง มองเติมบุญที่นอนหลับท่าทางอ่อนโรยอยู่บนเตียงอย่างเศร้าๆ ป้าแก้วนั่งอยู่ที่พื้นใกล้ๆ
“นี่ถ้าหาแม่เดือนไม่เจอ คุณผู้ชายมิยิ่งทรุดหนักเหรอแก้ว”
“ทำใจดีๆไว้ก่อนนะคะคุณขา คนดีๆอย่างคุณเดือนพระต้องคุ้มครองค่ะ”
“โธ่ลูกหนอลูกสติสตังก็ยิ่งไม่ดีอยู่ ป่านนี้จะไปถึงไหนก็ไม่รู้”
สายอุษายกมือไหว้
“คุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครอง ให้ลูกเดือนกลับมาอย่างปลอดภัยด้วยเถิด...”
สายอุษาถอนใจเฮือกใหญ่ อย่างเป็นกังวล
ปานฟ้าขับรถเข้ามาจอดอย่างเร็ว เธอลงมาเห็นภาคินยืนรออยู่ก่อนแล้วก็รีบวิ่งเข้ามาหา
“คุณภาคิน...ไหนคะพี่เดือน”
“ใจเย็นๆครับคุณฟ้า...”
ภาคินพาปานฟ้าไปแอบมอง ปานเดือนที่นั่งคุยกับบุญทิ้งอย่างมีความสุข ปานฟ้ามองอย่างแปลกใจ
“พี่เดือนมาหาบุญทิ้งเหรอคะ”
“ผมก็ไม่ทราบครับ ว่าเธอจงใจมาหาหรือว่าบังเอิญ”
ขณะเดียวกัน อนิรุทธิ์พรวดพราดเข้ามาหอบเหนื่อย
“ฟ้า...คุณเดือนล่ะ”
อนิรุทธิ์ชะงักมองไปที่ปานเดือนกับบุญทิ้ง เขามองอย่างรันทดใจมากก่อนจะพึมพำเบาๆ
“โธ่คุณเดือน...”
“ผมว่าอย่าทำให้เธอรู้สึกตกใจจะดีกว่านะครับ” ภาคินแนะ
อนิรุทธิ์พยักหน้ารับ
“ผมเห็นด้วย...ว่าแต่คุณภาคินเจอคุณเดือนได้ยังไงกันครับ”
ภาคินเล่าให้ฟังว่าก่อนหน้านี้ ภาคิน เฟื่องแก้ว กำลังเดินอยู่กับเด็กๆ ในบริเวณมูลนิธิ
“จำไว้นะ...ก่อนนอนทุกคนอย่าลืมช่วยพี่แก้ว ดูปิดไฟให้เรียบร้อยด้วยล่ะ อาศัยลุงชิดคนเดียวไม่ไหว แกแก่แล้วหูตาไม่ค่อยดี” ภาคินสั่ง
เด็กๆรับคำ เฟื่องแก้วยิ้มแย้ม
“คุณภาคินไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ”
“ถ้ามีเรื่องอะไรโทรหาผมได้ทุกเวลานะแก้ว”
“ค่ะ”
ภาคินมองไปเห็นบุญทิ้ง จ้องเขม็งไปที่ประตูหน้ามูลนิธิ
“มองอะไรนะบุญทิ้ง”
บุญทิ้งไม่ตอบ ภาคินหันไปมองตามอย่างแปลกใจแล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่า ปานเดือนยืนเกาะประตูรั้วมูลนิธิ มองเข้ามาหน้าตายินดีมาก
ปานฟ้าฟังอย่างแปลกใจมาก ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“พี่เดือนไม่ได้โวยวายอาละวาดเลยหรือคะ”
“ไม่เลยครับ...ตอนผมเดินไปเปิดประตูให้เธอ เธอก็เข้ามาปกติ เพียงแต่ว่าเธอสนใจแต่บุญทิ้งคนเดียว ผมก็เลยให้บุญทิ้งคุยเป็นเพื่อนเธอ แล้วก็โทรตามคุณนั่นแหละครับ”
เฟื่องแก้วเผลอพูดออกมา
“ท่าทางก็เหมือนคนปกตินะคะ”
ภาคินหันมามอง เฟื่องแก้วนึกได้พูดเสียงอ่อย
“ขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ปานฟ้ายิ้มๆ
อนิรุทธิ์ค่อยๆเดินเข้าไปหาเรียกเบาๆ
“คุณเดือน...”
ปานเดือนหันมาแล้วยิ้มให้
“เรียกฉันเหรอ”
อนิรุทธิ์ข่มความสงสาร เดินเข้าไปประคอง
“ครับ...ผมมารับคุณกลับบ้าน”
ปานเดือนพยักหน้าเศร้าๆพูดกับบุญทิ้ง
“ฉันต้องกลับบ้านแล้ว...หนูจะกลับไปกับฉันได้มั้ย”
บุญทิ้งจับมือปานเดือน
“ผมไปกับคุณไม่ได้หรอกครับ แต่คุณมาหาผมที่นี่เมื่อไรก็ได้”
ปานเดือนตื่นเต้น
“จริงเหรอ...หนูไม่หนีไปไหนใช่มั้ย ฉันมาหาหนูได้ใช่มั้ย”
ปานฟ้าเช็ดน้ำตารีบเข้ามาช่วยเสริม
“ค่ะพี่เดือน...พี่เดือนจะมาเมื่อไร บอกฟ้ากับพี่รุทธิ์นะคะ เราสองคนจะพาพี่เดือนมาเอง พี่เดือนอย่ามาคนเดียวแบบวันนี้นะค่ะ”
ปานเดือนก้มหน้าจ๋อยๆ
“ก็พี่กลัวโดนดุ”
อนิรุทธิ์เข้ามากอดไว้
“ไม่มีใครดุคุณหรอกครับ...วันนี้กลับก่อนเถอะนะบุญทิ้งจะได้พักผ่อน”
ปานเดือนลังเล บุญทิ้งรีบพูด
“ผมเป็นเด็ก เด็กต้องไม่นอนดึกครับ เดี๋ยวผมไม่สบาย คุณเดือนไม่ห่วงผมเหรอครับ”
ปานเดือนตกใจรีบลุกขึ้น ดึงบุญทิ้งให้ลุกด้วย
“ก็ได้จ้ะ...ฉันกลับก่อนก็ได้ หนูจะได้รีบนอนอย่าเป็นอะไรไปน่ะ”
ปานเดือนกอดบุญทิ้งสะอื้น
“อย่าไม่สบายนะ...ไม่สบายแล้วเดี๋ยวตาย...ฉันไม่อยากให้หนูจากฉันไป”
ทุกคนสะเทือนใจ รวมทั้งบุญทิ้งน้ำตาคลอรับคำ
“ครับ...ผมจะไม่เป็นอะไร คุณเดือนกลับบ้านเถอะนะครับ”
ปานเดือนพยักหน้าแต่ไม่ยอมปล่อยบุญทิ้ง อนิรุทธิ์ค่อยๆแกะมือปานเดือนออกอย่างอ่อนโยนประคองปานเดือนจะพาเดินไป แล้วชะงักหันมามองบุญทิ้งยิ้มให้
“ขอบใจมากนะบุญทิ้ง”
บุญทิ้งยกมือไหว้
“สวัสดีครับ”
อนิรุทธิ์พยักหน้า ประคองปานเดือนที่เดินไปแล้วก็ค่อยหันกลับมามองบุญทิ้งตลอดทาง ภาคิน ปานฟ้า เฟื่องแก้ว ก็พากันเดินตามไปส่ง บุญทิ้งน้ำตาไหล พยายามเช็ดแต่น้ำตาก็ไม่หยุดไหล บุญทิ้งหมุนตัวกลับวิ่งเข้าไปในมูลนิธิ
ภาคินกับปานฟ้า ยืนมองจนรถของอนิรุทธิ์ออกไป ปานฟ้าถอนใจหันมามองภาคิน
“ฉันต้องขอบคุณคุณอีกครั้งนะคะ”
“ดูท่าทางคุณเหนื่อยๆ”
เฟื่องแก้วไม่พอใจรีบพูด
“งั้นก็น่าจะรีบกลับไปพักน่ะค่ะ”
“ค่ะ...คุณสองก็เหมือนกัน ยังไงฉันก็ต้องขอโทษแทนพี่เดือนด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
ปานฟ้าฝืนยิ้ม ภาคินรีบพูด
“อย่าคิดมากเลยครับ...แค่คุณปานเดือนปลอดภัยก็ดีแล้ว”
ปานฟ้ารู้สึกโหวงๆแต่ฝืนไว้
“ค่ะ...ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”
“ครับ...”
ปานฟ้าจะเดินไปที่รถแต่กลับเซ ภาคินตกใจรีบประคอง
“คุณปานฟ้า...”
ปานฟ้าเป็นลมหมดสติพับอยู่คาอ้อมแขนของเขา ภาคินตกใจ
“คุณปานฟ้า...คุณปานฟ้า”
ภาคินเป็นห่วงปานฟ้ามาก เฟื่องแก้วมองภาพตรงหน้าอย่างขัดใจ
ภาคินอุ้มปานฟ้ามานอนอยู่ที่โซฟาตัวยาว จ่อยาดมที่จมูกไว้ แล้วเรียกอย่างเป็นห่วง
“คุณฟ้า...ปานฟ้า...”
ปานฟ้ายังนอนนิ่ง ภาคินปัดผมที่หล่นลงมาปรกหน้าเบาๆ จ้องหน้าเธอนิ่งอยู่อย่างนั้น เฟื่องแก้วถือแก้วยาหอมเข้ามามองอย่างไม่พอใจ แกล้งปิดประตูดังๆ ภาคินรู้สึกตัวถอยออกมา พูดแก้เก้อ
“ยังไม่ฟื้นเลยแก้ว...หรือว่าเราจะพาคุณปานฟ้าไปหาหมอ”
“ไม่ต้องมั้งคะ...เธอคงตกใจบวกกับเหนื่อยมากเลยเป็นลม”
ขณะเดียวกันนั้นปานฟ้าค่อยๆรู้สึกตัว ลืมตาขึ้นสายตาพร่าเลือนเห็นหน้าภาคินเบลอแล้วค่อยๆชัดขึ้น เธอตกใจขยับลุกจะนั่ง ภาคินรีบบอก
“ช้าๆ ครับเดี๋ยวจะหน้ามืดไปอีก”
ปานฟ้านั่งจนได้ หันมาเห็นเฟื่องแก้วอยู่ด้วย สีหน้าดีขึ้น
“ฉัน...ฉันเป็นอะไรไปคะเนี่ย”
“คุณเป็นลมไปนะครับ”
ปานฟ้ามองรอบๆเห็นว่าอยู่ในห้อง
“แล้วฉัน...มาอยู่นี่ได้ยังไงคะ”
เฟื่องแก้วข่มความไม่พอใจตอบเสียงห้วนๆ
“ก็คุณภาคินอุ้มคุณมานะสิคะ...นี่ค่ะยาหอม...ทานแล้วจะได้ดีขึ้น”
เฟื่องแก้วยื่นแก้วยาหอมให้ ปานฟ้ารับมาหน้าแดงหลบสายตาภาคินที่กำลังมองมาอย่างเป็นห่วง
ภาคินอาสาเป็นคนขับรถให้ปานฟ้านั่งข้างๆ ขณะขับอยู่บนท้องถนน ปานฟ้าหันไปมองหน้าภาคินแล้วเอ่ยขึ้น
“ฉันบอกว่าขับกลับเองได้คุณก็ไม่เชื่อ”
“ผมเชื่อครับ แต่อยากให้แน่ใจว่าคุณจะถึงบ้านแน่ไม่ไปเป็นลมที่ไหนอีก”
ปานฟ้านิ่งไปหันไปมองภาคิน
“ขอบคุณนะคะ”
ภาคินหันมายิ้มตอบ สองคนสบตากันปานฟ้าหน้าแดงรีบหันมองออกไปนอกหน้าต่าง เสียงเฟื่องแก้วดังขึ้นในความคิด ‘ก็คุณภาคินอุ้มคุณมานะสิคะ’
ปานฟ้ารู้สึกเก้อเขิน
อ่านดุจดาวดิน ตอนที่ 2/3
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์