หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

อ่านดุจดาวดิน ตอนที่ 2/4

อ่านดุจดาวดิน ตอนที่ 2/4
ภาคินขับรถเข้ามาจอดรอที่หน้าประตูรั้ว ประตูเปิดออกโดยอัตโนมัติ รถจอดนิ่งเครื่องยนต์ดับลง ทั้งสองลงมาจากรถ ปานฟ้าเดินอ้อมไปด้านคนขับ

“ลำบากคุณแย่เลย”
“ไม่เป็นไรครับ...คุณรีบเข้าบ้านเถอะ”
“ขอบคุณจริงๆค่ะ”
“ครับ...”
ภาคินเปิดประตูรถให้เธอเข้าไปนั่งแล้วปิดประตู ก้มมองอยู่ ปานฟ้าเปิดกระจก
“หลับฝันดีนะครับ”
ปานฟ้ายิ้มรับ

“ค่ะ...”
ปานฟ้าขับรถเข้าบ้าน ตามองที่กระจกส่องหลัง เห็นภาคินยังยืนมองอยู่จนลับสายตาไป เธอยิ้มอย่างมีความสุข

ภาคินนั่งรถแท็กซี่มาที่หน้าบ้าน แล้วเปิดประตูใหญ่เดินเข้าไป ขณะที่ใกล้ถึงตัวบ้าน จู่ๆก้องภพโผล่พรวดออกมาเสียงดัง
“ไอ้ภาคิน”
ภาคินไม่ทันระวังตัว โดนก้องภพพุ่งเข้ามาชกจนเซถลาล้มลงไป ก้องภพถลาเข้าไปกระชากขึ้นมา
“วันนี้ ฉันจะเอาเลือดชั่วของแกออกมา”
ก้องภพชกอีก ภาคินเซไป
“เป็นบ้าอะไรขึ้นมาคุณก้องภพ คุณมาชกผมทำไม”
ก้องภพชี้หน้า
“แกไม่ต้องมาถาม วันนี้ฉันจะสอนให้ไอ้เด็กกำพร้าอย่างแกรู้จักเงาหัวของตัวเองเสียบ้าง”
ก้องภพพุ่งเข้าใส่ ภาคินหลบแล้วสวนกลับ ก้องภพถลาเป็นนกปีกหัก
“ผมต่างหากที่จะสอนให้คุณรู้ว่า ผมไม่ใช่ลูกไล่ของคุณ”
ก้องภพพุ่งเข้าใส่ภาคิน สองคนสู้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร ป้านุ่มผ่านมาเห็นตกใจรีบวิ่งไปด้านใน

ในห้องรับแขก วิมลวรรณกระชากหนังสือพิมพ์ออกจากมืออานนท์
“นี่คุณ...อย่ามาทำเป็นทองไม่รู้ร้อนน่ะ”
อานนท์ถอนใจรำคาญ
“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง”
“อ้าว...คุณก็ต้องเรียกไอ้ภาคินมาถามให้รู้เรื่องสิ”
“นี่คุณหญิง ภาคินเขาโตแล้วการที่จะไปไหนมาไหนกับใคร ก็เป็นสิทธิ์ส่วนตัวของเขา แล้วอีกอย่างหนูปานฟ้าเขาก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกับตาภพ สองคนนั้นเขาอาจจะติดต่อกันเรื่องงานก็ได้”
“เป็นไปไม่ได้”
“จะได้หรือไม่ได้คุณจะต้องมาวุ่นวายอะไร เจ้าภพมันยังไม่เห็นเดือดร้อนสักหน่อย”
ป้านุ่มวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“คุณขาแย่แล้วค่ะ”
วิมลวรรณตวาด
“อะไร”
“คุณภาคินกับคุณก้องภพ ต่อยกันใหญ่แล้วค่ะ”
ทั้งอานนท์และวิมลวรรณตะลึง

ก้องภพเซถลาล้มไปที่สนามอย่างหมดสภาพ ภาคินมองแล้วทำท่าจะเดินหนีไป ก้องภพเจ็บใจที่สู้ไม่ได้ตะโกนด่า
“ไอ้ลูกไม่มีแม่...ไอ้ลูกเมียน้อย...ไอ้ลูกผู้หญิงใจง่าย”
ภาคินชะงักแค้นมาก หันกลับมาย่างสามขุมเข้าหา ก้องภพตกใจรีบลุกขึ้นจะวิ่งหนี ภาคินเข้ามากระชากแล้วชกเต็มแรง ก้องภพเซถลาไปล้มที่เท้าวิมลวรรณ
“ว้าย...ก้องภพ...ก้องภพลูกแม่” วิมลวรรณชี้หน้าภาคิน “ไอ้สารเลว...ไอ้บ้า นี่แกกล้าดียังไงมาทำลูกภพของฉันเสียหน้าตาแตกยับเยินอย่างนี้...หา”
ภาคินยืนนิ่งหันไปมองอานนท์ ที่มองมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
ทั้งหมดเข้าไปในห้องนั่งเล่น ก้องภพใส่ความภาคินทันที
“ผมแค่ถามมันดีๆ มันก็เล่นงานผมแบบไม่ทันให้ตั้งตัวเลยครับ”
วิมลวรรณแค้นมาก
“คุณอานนท์คุณต้องจัดการขั้นเด็ดขาดกับมันนะ ไม่อย่างนั้นฉันไม่ยอมจริงๆด้วย”
อานนท์ถอนใจมองภาคินที่ยืนนิ่ง
“ไหนเล่าความจริงมาสิภาคิน”
วิมลวรรณรีบพูดแทรกขึ้น
“ไม่ต้องถามอะไรแล้วเห็นอยู่ชัดๆว่า มันริทำตัวเป็นนักเลงเป็นอันธพาล แบบนี้มันจะอยู่ร่วมบ้านกันไม่ได้แล้ว”
อานนท์ตวาดเสียงดัง
“หยุดทีเถอะ...ให้ภาคินพูดก่อนได้มั้ยแล้วผมจะตัดสินเองว่าใครมันผิดใครมันถูก เอ้าภาคินพูดมา”
ภาคินมองก้องภพอย่างเจ็บใจ ก้องภพหลบตาหันไปสำออยกับวิมลวรรณ
“โอ๊ยเจ็บจังครับแม่...”
วิมลวรรณโอ๋ลูก
“จ๊ะๆๆเดี๋ยวแม่จะประคบให้น่ะลูกน่ะ”

อานนท์กลับเข้ามาที่ห้องนอน วิมลวรรณเดินตามเข้ามาในห้องโวยวายเสียงดัง
“คุณทำอย่างนี้ได้ยังไง คุณให้ท้ายมันแบบนี้ อีกหน่อยมันคิดอยากจะตบฉันมันก็คงตบเข้าให้”
อานนท์หันขวับกลับมา
“คนอย่างภาคินถ้าได้ลงมือตบผู้หญิงสักคนละก็ แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นสมควรโดนตบจริงๆ”
วิมลวรรณแทบเต้น
“นี่คุณ...คุณเข้าข้างมันมากไปแล้วน่ะ”
“การที่เจ้าภพมันไปหาเรื่องชกต่อยภาคินก่อน แถมพูดจาดูถูกแม่เขาน่ะ ผมว่ามันยังน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ ถ้าเป็นผม...ผมก็จะทำอย่างที่ภาคินทำนั่นแหละ และผมก็เชื่อถ้าใครมาด่าคุณเจ้าภพมันก็คงไม่ยอมเหมือนกัน”
วิมลวรรณโมโหจนพูดไม่ออก
“จบได้แล้วนะคุณหญิง...ผมจะนอน”
อานนท์เดินไปที่เตียงหันตะแคงไปอีกทาง วิมลวรรณยืนมองอย่างอัดอั้นแทบกระอัก

ป้านุ่มใช้ผ้าประคบที่บริเวณหน้า ภาคินสะดุ้ง
“เจ็บเหรอคะ...คุณหนูขอโทษนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับป้า...ผมดีขึ้นมากแล้วป้านุ่มไปนอนเถอะ”
ป้านุ่มถอนใจพูดฉุนๆ
“คนอะไร้...พาลจริงๆ นี่ยังดีนะคะ ที่คุณผู้ชายท่านเป็นคนยุติธรรม”
ภาคินนิ่ง ป้านุ่มรีบพูดต่อ
“เห็นมั้ยคะ คุณพ่อนะรักคุณหนูนะ”
“แต่ไม่รักแม่ผมใช่มั้ยป้านุ่ม”
“ทำไมคุณหนูพูดอย่างนั้นละคะ”
“ถ้าพ่อรักแม่...ทำไมแม่ถึงหนีไปละครับ...แล้วทำไมเวลาผมถามถึงแม่ พ่อถึงไม่ยอมบอกอะไรเลย”
“คุณหนูคะ...บางทีการที่คุณท่านไม่พูดถึงคุณแม่ของคุณหนู ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่รักไม่คิดถึงนะค่ะ แต่บางทีถ้าเราพูดถึงแล้วมันเจ็บปวด สู้ไม่พูดเสียยังจะดีกว่า”
ภาคินอึ้งไป คิดตามคำพูดของป้านุ่มอย่างไม่แน่ใจ

เช้าวันใหม่...ก้องภพขับรถออกมาเห็นภาคินเดินอยู่ข้างหน้า ก้องภพเหยียดยิ้มแล้วเหยียบคันเร่งเฉี่ยว ภาคินกระโดดหลบมองอย่างไม่พอใจ แต่ก็ข่มใจเดินต่อ ก้องภพจอดรถเสียงดัง รอจนภาคินเดินมาถึงจึงกดกระจกลงถามห้วนๆ
“ไอ้กาฝาก...ทีหลังมาเดินขวางถนนแบบนี้ จะชนซะให้ขาหักเลย”
ภาคินนิ่งไม่โต้ตอบ ก้องภพหัวเราะสะใจก่อนจะออกรถไปอย่างรวดเร็ว ภาคินข่มใจจะเดินต่อแต่ก็ต้องชะงัก เพราะรถของอานนท์มาจอดข้างๆ อานนท์กดกระจกลงเรียกอ่อนโยน
“ขึ้นรถสิภาคิน พ่อจะไปส่ง”
ภาคินลังเลก่อนจะตอบอย่างสุภาพ
“ขอบคุณครับ แต่ผมไปเองได้”
อานนท์ทำเสียงดุ
“พ่อสั่งให้ขึ้นรถ”
อานนท์ปิดกระจกนั่งรอ ภาคินจำใจต้องเดินอ้อมไปขึ้นอีกด้าน รถออกไป วิมลวรรณยืนมองอย่างไม่พอใจมาก

วิมลวรรณเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น ป้านุ่มกำลังจัดแจกันบนโต๊ะสะดุ้งหันมาทำท่าจะถอยออกไป วิมลวรรณตวาดแว๊ด
“ทำไม..เห็นฉันยังกับเห็นผีต้องตกใจถึงขนาดนั้นเชียวเหรอนังนุ่ม”
ป้านุ่มรีบพูดนอบน้อม
“เปล่านะเจ้าคะ”
วิมลวรรณเข้ามานั่ง
“แกไม่ต้องมาโกหก..ฉันรู้ว่าแกคิดยังไง แกคงคิดอยู่ในใจมาตลอดละสิว่าฉันนะใจร้ายใช่มั้ย”
ป้านุ่มอึ้ง วิมลวรรณพูดเสียงขมขื่น
“แกมันไม่เคยมีผัว แกไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกของคนที่ถูกผัวนอกใจนะมันเป็นยังไง”
ป้านุ่มพูดเสียงอ่อน
“ใช่ค่ะ...อิฉันอาจจะไม่รู้ แต่ถ้าเป็นตัวเองฉันก็จะคิดเสียว่า มันเป็นกรรมตั้งแต่ชาติก่อน จะไม่ก่อกรรมทำเข็ญให้มันเป็นเวรเป็นกรรมโยงกันไปมาไม่รู้จบ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่าเวรต้องระงับด้วยการไม่จองเวรไงคะคุณ”
วิมลวรรณหันขวับ
“นังบ้า...ฉันไม่ได้ให้แกมาเทศน์สั่งสอนฉันน่ะ...ไป๊ จะไปทำอะไรก็ไป”
นุ่มอ่อนใจเดินออกไปจากห้อง วิมลวรรณเจ็บแค้น
“สำหรับฉัน ใครทำให้ฉันเจ็บมันต้องเจ็บกว่าฉัน เป็นร้อยเป็นพันเท่า”

รถอานนท์วิ่งมาท่ามกลางการจราจรแออัด ในท้องถนนยามเช้าของกรุงเทพ
“เมื่อคืนก่อนทำไมไม่กลับบ้าน มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีครับ พอดีที่มูลนิธิยุ่งๆผมก็เลยค้างที่นั่น”
อานนท์พยักหน้า
“ทำไมไม่เอารถที่บ้านไปใช้ รถเรามีตั้งหลายคัน พ่อเคยบอกแล้วว่า...”
ภาคินรีบพูดตัดบท
“ผมไม่ชอบขับรถครับ”
อานนท์อึ้งไป ถอนใจแบบอ่อนใจ
“งั้นก็ตามใจ แต่ถ้าต้องการอะไรขอให้บอกพ่อ”
ภาคินหันมามองอานนท์ ถามไม่แน่ใจ
“จริงเหรอครับ”
อานนท์รีบตอบกระตือรื้อร้น
“จริงสิ...รู้มั้ยภาคิน ว่าพ่อไม่สบายใจเลย ที่ลูกไม่ยอมรับความช่วยเหลืออะไรจากพ่อเลย แม้นแต่เรื่องเรียนลูกก็สอบชิงทุนเอาเอง ให้พ่อได้ให้อะไรลูกบ้างสิ”
“ผมอยากรู้ว่า...แม่ของผมอยู่ที่ไหน แล้วทำไมแม่ถึงทิ้งผมไป”
อานนท์อึ้งนิ่งไปอย่างเจ็บช้ำ
“ได้มั้ยครับพ่อช่วยบอกผมหน่อย”
“พ่อบอกลูกได้แต่เพียงว่า...แม่ของลูกเป็นผู้หญิงที่พ่อรักมากที่สุด ลูกรู้ไว้แค่นั้นก็พอแล้ว...”
ภาคินมองอานนท์อย่างแปลกใจ ที่น้ำเสียงอานนท์เศร้าสะเทือนใจมาก

ปานฟ้าเข้ามาหาปานเดือนในห้องนอน ปานเดือนจับมือน้องสาวแล้วอ้อนวอน
“นะ..ช่วยพาพี่ไปหาเด็กคนนั้นหน่อยนะจะให้ไหว้ก็ได้นะ”
ปานเดือนทำท่าจะไหว้จริงๆ ปานฟ้ารีบห้าม
“อย่าทำอย่างนี้สิคะพี่เดือน”
อนิรุทธิ์มองปานเดือนอย่างสะเทือนใจ
“ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ก็ร่ำร้องอ้อนวอนจะให้พี่พาไปหาบุญทิ้งให้ได้”
ปานเดือนนึกได้
“ใช่แล้วบุญทิ้ง...ทินภัทร...ลูกแม่...นะพาไปหน่อยขอร้องล่ะ”
ปานฟ้าข่มความสะเทือนใจยิ้มแย้ม
“ตกลงค่ะ”
ปานเดือนดีใจเหมือนเด็ก
“จริงๆนะ...เธอใจดีจัง”
ปานเดือนโผเข้ากอดน้องสาว ปานฟ้าพยักหน้ากับอนิรุทธิ์ แล้วดันตัวพี่สาวนออกพูดอย่างขึงขัง
“แต่ต้องเป็นบ่ายๆนะคะ เพราะฟ้าต้องไปเคลียร์งานก่อน”
“งานยุ่งมากเหรอฟ้ามีอะไรให้พี่ช่วยมั้ย” อนิรุทธิ์ถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่หรอกค่ะ...แต่ตอนเที่ยงฟ้ามีนัดทานข้าวกับสปอนเซอร์ ที่จะร่วมจัดงานประกวดวาดภาพของเด็กๆไงคะ บ่ายๆคงเสร็จ”
ปานเดือนรีบพูด
“ได้ๆๆบ่ายๆก็ได้...พี่จะแต่งตัวรอบ่ายแน่นะ”
“แน่ค่ะ...ฟ้ารับปากแล้วก็ต้องพาไปแน่ๆ”
ปานฟ้าลุกขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นฟ้าไปทำงานก่อน...พี่รุทธิ์ละคะจะไปพร้อมกันเลยมั้ย”
“ฟ้าไปก่อนเถอะ...พี่จะอยู่กับคุณเดือนอีกสักพักพอดีช่วงเช้าไม่มีอะไร”
ปานฟ้าพยักหน้า หันไปยิ้มกับปานเดือนที่โบกมือให้ยิ้มแย้มกำชับ
“อย่าลืม...อย่าลืมนะ”
ปานฟ้ายิ้มเศร้าใจสงสารปานเดือนมาก

ธัญวิทย์นั่งห้อยเท้าอยู่ที่เตียง พิมนั่งคุกเข่าใส่ถุงเท้าให้...
“คุณธัญวิทย์ตั้งใจเรียนนะคะ โตขึ้นจะได้เก่งๆแล้วก็ฉลาดๆ”
ธัญวิทย์ชักเท้าหนีโมโห
“นี่แกจะว่าฉันโง่เหรอ”
พิมตกใจ คว้าเท้าไว้ลูบปลอบ
“ไม่ใช่ค่ะ...พิมแค่อยากให้คุณธัญวิทย์นะเก่งกว่าคนอื่นๆ”
ธัญวิทย์ทำท่าผยอง
“ฉันไม่จำเป็นต้องเก่งหรอกเพราะฉันมีเงิน คุณแม่บอกว่าเงินนะซื้อได้ทุกอย่าง”
ปานดาวเข้ามาในห้อง
“ถูกแล้วล่ะลูก เงินนะซื้อได้ทุกอย่างจริงๆ”
ธัญวิทย์กระโดดลุกขึ้นวิ่งไปกอดแม่ พิมมองตามอย่างไม่ค่อยพอใจ
“แม่ครับ...วันนี้วันหยุดผมอยากไปเที่ยวบ้าง ไม่ต้องไปเรียนพิเศษสักวันไม่ได้เหรอครับนะแม่นะ”
ปานดาวก้มมองลูกชายอย่างรักใคร่
“ก็ได้...วันนี้แม่อารมณ์ดี เราไปเที่ยวกันดีกว่าเดี๋ยวชวนคุณพ่อไปด้วยดีมั้ย”
ธัญวิทย์กระโดดหอมแก้มแม่
“ไชโย...แม่ใจดีที่สุดในโลกเลย งั้นกินข้าวเช้าแล้วไปกันเลยนะ”
ปานดาวพยักหน้า ธัญวิทย์วิ่งออกไปจากห้อง พิมลุกขึ้นพูดไม่ค่อยพอใจ
“ที่จริงคุณดาวน่าจะให้คุณธัญวิทย์ไปเรียนพิเศษนะคะ แกยิ่งเรียนไม่เก่งอยู่ด้วย ผลสอบครั้งที่แล้วก็เกือบจะตกตั้งหลายวิชา”
ปานดาวถามเสียงเรียบ แต่เย็นชาจนน่ากลัว
“ฉันขอความเห็นแกเหรอ...”
พิมอึ้ง ปานดาวจ้องหน้าพิมเขม็ง
“ลูกฉัน...ฉันรู้ว่าฉันต้องทำยังไง แกมีหน้าที่แค่คอยดูแลรับใช้คุณธัญวิทย์ ไม่ได้มีหน้าที่ออกความเห็น อย่าลืมเสียสิ”
พิมโกรธแต่ข่มอารมณ์ ก้มหน้านิ่งเหมือนสำนึก ปานดาวเหยียดยิ้มก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป พิมเงยหน้ามองปานดาว ด้วยสายตาชิงชัง
“ลูกฉัน...ลูกฉัน...เชอะนังแม่กาเอ๊ย...”

ปานดาว ภูวดล ธัญวิทย์เดินคุยกันมาอย่างอารมณ์ดี ทั้งหมดชะงักที่เห็นสายอุษา
นั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้ว ป้าแก้วยืนรออยู่ใกล้ๆ พอเห็นทั้งสามคน ป้าแก้วก็รีบไปหยิบโถข้าวมาตัก ทั้งสามรีบเข้ามานั่งอย่างสำรวม
“ขอโทษค่ะคุณแม่...ดาวนึกว่าคุณแม่จะทานบนห้องเสียอีก”
“ไม่เป็นไร แม่ก็เพิ่งลงมา”
ปานดาวเอาใจ
“เห็นคุณแม่ทำใจได้อย่างนี้ดาวก็เบาใจค่ะ...คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะถ้าวันนี้ยังไม่เจอตัวยัยเดือน เดี๋ยวดาวจะให้ภูไปแจ้งความเองใช่มั้ยคะภู”
ภูวดลรีบรับคำ
“ครับคุณแม่ ผมตั้งใจอยู่แล้วแต่รอให้ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงเสียก่อน ไม่อย่างนั้นตำรวจเขาก็ไม่รับแจ้ง”
“แจ้งทำไม...”
“อ้าว...ก็ยัยเดือน”
“พ่อรุทธิ์เขาพาตัวกลับมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
ปานดาวและภูวดลตกใจ มองหน้ากันอย่างมีพิรุธ ภูวดลเผลอไอ ธัญวิทย์หันไปถามอย่างไม่รู้เรื่อง
“อะไรติดคอเหรอฮะพ่อ”
ภูวดลสะดุ้ง สายอุษากับป้าแก้วหันไปมอง ภูวดลรีบคว้าแก้วน้ำดื่มรวดเดียว ปานดาวทำเนียนถามไม่รู้ไม่ชี้ทั้งที่หน้าเจื่อนๆ
“แล้วยัยเดือนเขาบอกมั้ยคะว่าเอ้อ...ทำไมเขาถึงออกไปจากบ้าน”
สายอุษาส่ายหน้า ตักอาหารพูดไปเรื่อยๆ
“ดาวก็รู้ว่าน้องเป็นยังไง ถึงซักไปก็พูดไม่รู้เรื่อง แค่กลับมาอย่างปลอดภัยแม่ก็พอใจแล้ว คราวหน้า คราวหลังก็ต้องระวังให้มากขึ้นนะแก้ว”
ป้าแก้วรีบรับคำ
“ค่ะคุณผู้หญิง อิฉันจะไม่ทิ้งคุณเดือนไว้คนเดียวอีกแล้วค่ะ”
ปานดาวแอบถอนหายใจโล่งอกสบตากับสามี ภูวดลรีบเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วนี่คุณฟ้ายังไม่ตื่นเหรอครับ...สงสัยเมื่อคืนคงจะเหนื่อยมาก”
“ยัยฟ้าไปทำงานแต่เช้าแล้ว พูดถึงยัยฟ้าแม่ละสงสารไหนจะต้องทำงานแทนพ่อ ไหนจะต้องวิ่งมาดูแลยัยเดือน เห็นแล้วเหนื่อยแทน”
ปานดาวแอบทำหน้าเซ็ง สบตากับภูวดลบุ้ยใบ้ ปานดาวแกล้งยิ้มอ่อนหวาน
“ดาวก็เห็นใจยัยฟ้านะคะ ที่จริงดาวก็อยากไปช่วยที่ห้างฯแต่กลัวยัยฟ้าเขาจะหาว่าดาวไปจุ้นจ้าน”
สายอุษาชะงักพูดนิ่งๆ
“คิดยังไงขึ้นมาถึงอยากไปช่วยงานน้อง อยู่มาตั้งนานแม่ไม่เห็นเธอเคยอยากทำงาน เห็นแต่คอยรอรับเงินเดือนเท่านั้น”
ปานดาวอึ้ง
“ก็เพราะไม่เคยมีใครเห็นความสำคัญของดาวนะสิคะ...อย่างว่าแหละนะก็ดาวมันไม่มีปริญญานี่ ทุกคนก็เลยมองข้ามหัวดาวไปหมด”
สายอุษาชะงัก รวบช้อนถอนใจหันไปบอกป้าแก้ว
“ฉันอิ่มแล้วแก้ว...เดี๋ยวเอาผลไม้ขึ้นไปให้ที่ห้องด้วยนะ”
“ค่ะคุณ...”
ปานดาวหน้าตึง มองแม่ที่ลุกไปจากโต๊ะอย่างโมโห เธอรวบช้อนเสียงดัง ธัญวิทย์ถามอย่างไม่รู้เรื่อง
“คุณแม่อิ่มแล้วเหรอครับ”
ปานดาวไม่ตอบลุกออกไป ธัญวิทย์มองภูวดลงงๆ
“ลูกกินต่อเถอะ พ่อจะไปดูแม่เขาเอง”
ภูวดลรีบลุกตามไป เหลือธัญวิทย์นั่งกินข้าวอยู่คนเดียวอย่างไม่สนใจใคร

ปานดาวยืนกอดอกอย่างเจ็บใจ ภูวดลเข้ามาโอบด้านหลังพูดปลอบโยน
“ไม่ต้องเสียใจไปหรอกครับคุณดาว”
ภูวดลจับเมียรักให้หันมา ปานดาวเชิด
“ฉันไม่เคยเสียใจ ให้กับคนที่บ้านนี้ไปนานแล้วล่ะ”
“ดีครับ...คุณต้องเข้มแข็งอย่างนี้สิที่รัก”
ปานดาวเกาะแขนอ้อน
“เราไปเที่ยวกันดีกว่า ฉันเบื่อบ้านเต็มที”
ภูวดลโอบ
“ผมรู้แต่คุณต้องอดทนสิ ผมว่าไม่เลวเลยนะที่คุณบอกว่าจะไปช่วยงานปานฟ้านะ”
“ฉันก็พูดไปอย่างนั้นแหละ เรื่องทำงานนะไม่เคยอยู่ในสมองฉันหรอก”
“แต่ผมกลับคิดตรงข้ามกับคุณ”
ปานดาวมองภูวดลอย่างไม่เข้าใจ
“ยิ่งสถานการณ์เป็นแบบนี้ ผมว่าเราจะนอนใจไม่ได้ น้องสาวคุณคนนี้ไม่ใช่เล่นนะคุณน่าจะเข้าไปดูแลกิจการบ้าง เกิดน้องสาวคุณยักย้ายถ่ายเท เราจะได้แก้เกมทัน”
“จริงสิทำไมฉันคิดไม่ถึงเลย”
“ก็คุณมีผมคอยช่วยคิดอยู่แล้วไง”
ธัญวิทย์วิ่งเข้ามา
“ไปกันหรือยังครับคุณพ่อคุณแม่”
ปานดาวมองลูก
“แต่วันนี้ฉันรับปากลูกไว้ว่าจะพาไปเที่ยว”
ภูวดลยิ้มร่าเริง
“ไม่มีปัญหา...วันนี้ผมจะพาคุณกับลูกเที่ยวให้สนุกเลย ไปลูก”
ภูวดลโอบธัญวิทย์เดินไป ปานดาวคล้อยตามคำยุยงของสามี
“ฉันจะไม่มีวันยอมแพ้แกหรอก...นังปานฟ้า”

ปานฟ้ากำลังเซ็นเอกสารง่วนอยู่ในห้องทำงานแล้วส่งให้เลขาที่ยืนรอ เลขารีบบอก
“คุณปานฟ้าจะเข้ามาอีกมั้ยคะ”
“คงไม่ล่ะ...ทานกลางวันกับคุณอนุสรณ์ แล้วฉันจะกลับบ้านเลย”
“คุณอนุสรณ์ท่านใจดีจังนะคะเห็นแจ้งว่าจะเอาทั้งนม น้ำผลไม้แล้วก็ขนมมาแจกเด็กๆทั้งหมดนะค่ะ”
“แบบนี้สิถึงจะเรียกว่ารู้จักตอบแทนสังคม กิจการของเขาถึงเจริญเอาๆไงล่ะ แต่ก่อนแค่ผลิตนมนะ เดี๋ยวนี้ครบทุกอย่างเลยที่เกี่ยวกับเด็กๆนะ”
ปานฟ้าคว้ากระเป๋าลุกขึ้น
“ฉันไปล่ะ”
“ค่ะ...”
ปานฟ้าเดินเร็วๆออกไปมีเลขาเดินตามไปด้วยก่อนจะปิดประตูห้องเรียบร้อย

ปานฟ้าขับรถเลี้ยวออกไป ครู่หนึ่งก้องภพขับรถมาอีกทางเลี้ยวเข้ามาอย่างรวดเร็วอย่างอารมณ์ของคนขับได้ดี
หน้าห้องปานฟ้า ...เลขากำลังคุยโทรศัพท์ตกใจ ที่ก้องภพเดินเร็วๆผ่านหน้าไป เลขารีบวางสายอย่างร้อนรน
“แค่นี้ก่อนนะเธอ...”
เลขาลุกขึ้นวิ่งไปดักหน้าก้องภพ
“เดี๋ยวค่ะคุณ”
ก้องภพมองเหยียดๆ
“หลีกไป...ฉันมีเรื่องจะเคลียร์กับเจ้านายเธอ”
“คุณปานฟ้าไม่อยู่ค่ะ”
ก้องภพตวาด
“โกหก...”
เลขาเจื่อนแล้วกลับโมโหบ้าง
“ฉันจะโกหกคุณทำไมคะ”
ก้องภพผลักเลขากระเด็นไป เปิดประตูเข้าไปอย่างแรง
“ฟ้า...”
ก้องภพไม่เห็นปานฟ้าในห้องก็ฉุนมากหันกลับมา เลขายิ้มสะใจ
“ดิฉันบอกคุณแล้ว”
“ปานฟ้าไปไหน”
“ดิฉันบอกไม่ได้หรอกค่ะ...ถ้าเจ้านายไม่ได้สั่ง”
ก้องภพข่มใจสุดๆ ชี้หน้าเลขาประมาณฝากไว้ก่อน ผละไปอย่างหงุดหงิดมาก

ก้องภพทุบพวงมาลัยรถอย่างฉุนสุดขีด
“ไปไหนว่ะ...หรือว่าไปกับไอ้ภาคิน”
ก้องภพคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาโทร สายไม่ว่าง เขาโมโหมาก
“คุยบ้าคุยบออะไรอยู่...เห็นสายซ้อนเข้าทำไมไม่รับ เธอจะหยามฉันมากไปแล้วนะปานฟ้า”
ก้องภพเจ็บใจสุดๆ ออกรถเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ขณะเดียวกันนั้น...ภาคินพูดโทรศัพท์ยิ้มๆ
“บุญทิ้งคงดีใจมาก ดูท่าทางจะถูกชะตากับคุณปานเดือนซะด้วย”
ปานฟ้าคุยผ่านบลูทูธขับรถไปด้วย
“ค่ะ...ฉันก็ดีใจที่เห็นพี่เดือนมีความสุข...แล้วเจอกันนะค่ะ”
ปานฟ้าทำท่าจะกดตัดการติดต่อ ภาคินรีบพูด
“เดี๋ยวครับคุณฟ้า...เอ้อทานข้าวกลางวันให้อร่อยนะครับ”
ปานฟ้าขำ
“ค่ะ...”
ปานฟ้ากดตัดการติดต่อ หยิบโทรศัพท์มาดูพึมพำรำคาญ
“สายก้องภพ”
ปานฟ้าขับรถต่อไปไม่สนใจ

เฟื่องแก้วยืนมองเด็กๆ รวมทั้งบุญทิ้งช่วยกับทำความสะอาดเก็บกวาดใบไม้ คนที่โตหน่อยช่วยกันตัดหญ้า ภาคินเดินเข้ามาเฟื่องแก้วตกใจ
“คุณภาคินไปโดนอะไรมาคะ”
ภาคินยิ้มเจื่อนๆ
“ไม่เป็นไรนะนิดหน่อย...เด็กๆขยันกันดีจริงนะ”
เฟื่องแก้วยังสงสัย แต่ไม่กล้าซักต่อ
“ค่ะ...เห็นแล้วชื่นใจนะคะที่เด็กๆมูลนิธิเราไม่เกเรไม่เคยก่อเรื่องเหมือนที่อื่น”
ภาคินพยักหน้า มองที่บุญทิ้งที่กำลังกวาดใบไม้ผ่านมา
“บุญทิ้ง...”
บุญทิ้งหยุดหันมา เห็นภาคินกวักมือเรียกก็รีบวิ่งมาหา
“พี่ภาคินมีอะไรจะใช้ผมเหรอครับ เอ๊ะ...”
บุญทิ้งมองหน้าภาคินตกใจ ภาคินรีบพูด
“ไม่มีหรอก แต่จะบอกว่าเย็นๆคุณปานเดือนจะมาหา”
บุญทิ้งดีใจ
“จริงเหรอครับ”
ภาคินพยักหน้า เฟื่องแก้วรีบถาม
“จะมากับใครคะ”
ภาคินมองหน้า
“ถามทำไมเหรอ”
เฟื่องแก้วอึกอัก
“อ๋อ...ก็แก้วเห็นเธอไม่ค่อยสบาย ก็คงมาคนเดียวไม่ได้ไม่ใช่เหรอคะ”
“คุณปานฟ้าจะพามา” ภาคินมองบุญทิ้ง “บุญทิ้งคงไม่กลัวคุณปานเดือนใช่มั้ย”
“ไม่เลยครับ...”
ภาคินพยักหน้า เดินกลับไปที่ห้องทำงาน บุญทิ้งดีใจวิ่งไปกวาดใบไม้ต่อ เฟื่องแก้วพึมพำไม่พอใจ
“จะมาทำไมบ่อยๆ...พี่หรือน้องกันแน่ที่อยากมา”
เฟื่องแก้วสะบัดหันไป ตกใจที่เจอตุลย์ยืนยิ้มอยู่ด้านหลัง
“อุ๊ย...หมวดเนี่ย...ตกใจหมดทำไมมาเงียบๆ”
“ผมก็มาปกติธรรมดานี่น่า ไม่ได้ลอยมาแต่หัวสักหน่อย ว่าแต่เมื่อกี้ได้ยินบ่นพึมพำว่าใครมาบ่อยๆครับ”
เฟื่องแก้วตกใจแล้วรีบพูดใส่หน้า
“ว่าหมวดไง...ไม่รู้จะมาทำไมบ่อยๆไม่มีงานการทำเหรอ”
“เอ้า...งานเข้าเลยเราไงมาลงที่ผมล่ะเนี่ย”

เฟื่องแก้วสะบัดไปอย่างรำคาญ ตุลย์มองงงๆ

อ่านดุจดาวดิน ตอนที่ 2/4
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์