หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

อ่านต้มยำลำซิ่ง ตอนที่ 6/3

อ่านต้มยำลำซิ่ง ตอนที่ 6/3
จวงใจนั่งคิดอะไรบางอย่าง ขณะที่จุ๊บแจงมองอย่างโมโห

“พี่จวง เอาไงกันแน่ ก็บอกให้หนูโวยคุณอิท เรื่องไร่อินสรวงไม่ใช่เหรอ”
“โวยพอแล้ว อีกอย่างพี่มาคิดดูแล้วนะ ก็ดีเหมือนกันที่นังรุ้งมันไปกับนายทูน”
“ดียังไง”
“ไม่สังเกตเหรอ นายทูนน่ะมันเอาอกเอาใจนังรุ้งจะตาย มันอาจจะจีบนังรุ้งอยู่ก็ได้”
“แล้วมันดียังไงล่ะพี่”

“อ้าว...นายทูนแย่งนังรุ้งไปจากคุณอิท ไม่ดีหรอกเหรอ”
จุ๊บแจงคิดตามแล้วส่ายหน้า
“ดีหรือไม่ดี...คิดไม่ออกพี่”
“เฮ้อ...คุณอิทเขาจะได้กลับมาหาเราไง ดีไหม คิดออกรึยัง”
จุ๊บแจงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“คิดออกแล้วพี่....ดี ดีแล้ว”
ขณะเดียวกันคม กับเดชเดินเข้ามา จวงใจหันไปถาม
“พี่คม คนรถที่จวงให้พี่หาให้น่ะ ได้รึยัง”
“พามาด้วยแล้ว คนของเฮียปอ”
“ได้แล้วเหรอ อยู่ไหน”
“มากับผมเลยพี่”
เดชพาจวงใจและแจงแยกไปที่หน้าบริษัท ส่วนคมเข้าไปหาอิทธิที่ห้องทำงาน
“มันเพิ่งลาออกจากบ่อนของเฮียปอ มันขับรถเก่งพี่ ไว้ใจได้” เดชเล่า
“เหรอ แต่มันต้องอยู่ประจำกับฉันเลยนะ”
“ไม่มีปัญหา”
ทั้งสองเดินมาถึงโถงหน้า พบคำรณที่นั่งรออยู่
“อ้าว นายคำ นี่เจ๊จวงกับน้องจุ๊บแจง แตงร่มใบ ที่จะจ้างนายขับรถ”
คำรณลุกขึ้นไหว้ จวงใจมองอย่างพึงใจ เมื่อเห็นเขาแต่งตัวเรียบร้อย สะอาดสะอ้าน
“ชื่ออะไรนะ”
“เรียกผม คำก็แล้วกันครับนายหญิง”
คำรณยิ้ม หน้าตายังดูหล่อเหลา กล้ามเป็นมัดๆ จวงใจมองอย่างปลื้มโดยเฉพาะคำว่า
“นายหญิง”

ฟ้าใสมานั่งร่วมโต๊ะ รุ้งระวีหันไปยิ้มให้
“เพราะจังค่ะ เพลงพี่ฟ้าฮิตมากที่แอลเอนะคะ”
“เหรอ พี่ว่าเพลงพี่ฮิตทุกที่แหละ ไม่ว่าจะไปเปิดที่ไหนในโลก พี่ทูน ไม่พูดอะไรบ้างเลยคะ ไม่ยินดีกับฟ้าบ้างเหรอคะ ที่เพลงของรักของหวงฮิตระเบิด”
“ก็...ยินดีด้วย ว่าแต่ของรักของหวงของฟ้าคือใครล่ะ เสี่ยดำรงเหรอ” ทูนอินทร์ย้อนถามกวนๆ
“พี่ทูนเนี่ยชอบแขวะฟ้าเรื่อยเลย ตัวเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าของรักของฟ้าคือใคร อ้อ...คงลืมหมดแล้วมั้ง มีของใหม่แล้วนี่”
ฟ้าใสปรายตามองมาที่รุ้งระวี
“เก่งจังนะ ไม่เท่าไหร่ควงน้องรุ้งออกงานกันเสียแล้ว เป็นแฟนกันรึเปล่าเนี่ย”
“เปล่านะคะ”
“ฮ่ะ ฮ่ะ น้องรุ้งรีบออกตัวเชียว พี่เตือนนะ ตอนที่พี่เริ่มดังใหม่ๆ พี่ทูนเขาก็ควงพี่แบบนี้แหละ แต่ไม่นานเขาก็เบื่อ”
“รุ้ง กลับเถอะ”
“อ้าว...จะกลับไปไหน ยังไม่ได้คุยกันเลย”
“รุ้ง..ไป”
ทูนอินทร์ดึงมือรุ้งระวีออกจากร้านทันที ฟ้าใสมองตามยิ้มเยาะ

ทูนอินทร์พารุ้งระวีออกมาหน้าร้าน เจอเข้ากับอินทร จี่หอยและมะปรางที่หอบถุงช็อปปิ้งกลับมาพอดี
“รุ้ง น่าไปช็อบกับพวกเรานะ ของถูกแล้วสวยๆทั้งนั้น” จี่หอยบอก
อินทรเข้าไปหาทูนอินทร์
“จะกลับแล้วเหรอพี่”
“นายช่วยไปจ่ายเงินในร้านให้ที พี่จะกลับกับรุ้งก่อน”
“ครับได้ มีอะไรรึเปล่าครับ”
ขาดคำเสียงหัวเราะของฟ้าใสแว่วมา ฟ้าใสเดินออกมาพร้อมไผ่ อินทรเข้าใจทันทีว่าทำไมทูนอินทร์ดูอารมณ์ไม่ดี
“แล้วพี่มาทานร้านผมอีกนะ” ไผ่บอกฟ้าใส
“จะหลอกให้ฉัน ร้องเพลงในร้านเธออีกใช่ไหมล่ะ”
มะปรางเห็นฟ้าใสตาโตทันที...
“อุ๊ย พี่ฟ้าใส ตัวจริงสวยจัง ไปขอลายเซ็นดีกว่า”
มะปรางจะเข้าไปขอลายเซ็น จี่หอยดึงไว้
“ไม่ต้องมะปราง”
“ทำไมพี่”
“บอกไม่ต้องก็ไม่ต้องซี”
ไผ่กลับเข้าร้านไป ฟ้าใสหันมาทางกลุ่มทูนอินทร์ เดินเข้ามาหารุ้งระวี
“อ้าว...นึกว่ากลับกันไปแล้ว น้องรุ้งคะ ไหนว่าจะขอลายเซ็นไม่ใช่เหรอ”
รุ้งระวีชักกลัวๆนิสัย
“ค่ะ ถ้าไม่เป็นการรบกวน”
รุ้งระวียื่นสมุดโน้ตเล่มเล็กให้พร้อมปากกา ฟ้าใสรับมา ชำเลืองไปทางทูนอินทร์ ที่ไม่แม้แต่มองหน้า ฟ้าใสเซ็นให้อย่างดี ปิดสมุด ส่งคืน จี่หอยมองฟ้าใสอย่างไม่เป็นมิตร
“ขอบคุณค่ะ”
รถคันใหญ่แล่นมา
“รถเสี่ยดำรงมารับแล้วค่ะ ไปนะคะพี่ทูน แล้วว่างๆจะไปเยี่ยมที่บ้าน”
ฟ้าใสยิ้มตาปรอย ก้าวขึ้นรถหรู ทูนอินทร์ยิ่งเครียด
“พี่ ดูเร็ว พี่ฟ้าเขียนว่ายังไง”
มะปรางบอก สามสาวเปิดสมุดออกดู อินทรเข้ามาดูด้วย
“ฟังเพลงของรักของหวง ให้ขึ้นใจนะ ชีวิตจะดีขึ้น จาก...เจ้าของตัวจริง” รุ้งระวีอ่าน
อินทรอึ้งไป ขณะที่จี่หอยโกรธ
“หมายความว่ายังไงพี่ ไม่เซ็นชื่อว่าฟ้าใสด้วย”
มะปรางสงสัย รุ้งระวีมองไปที่ทูนที่ไม่พูดอะไร
“อีฟ้าต่ำ นี่มันร้ายทั้งบนเวทีนอกเวที”
“มีอะไรกันเหรอพี่” รุ้งระวีสงสัย
จี่หอยโพล่งขึ้นมา
“ไม่อยากจะด่า นังฟ้าต่ำนี่แหละนางมารเรยาของแท้ ที่มันไปอยู่กับเสี่ยดำรงน่ะ เห็นว่าไปเป็นเมียน้อยเขานะ จนเมียหลวงเขาทนไม่ได้ต้องหย่ากัน”
ทูนอินทร์ยิ่งขรึมไปกว่าเดิม อินทรเตือน
“อะแฮ่ม”
“เห็นว่าก่อนจะมาได้เสี่ยดำรง นังนี่มันผ่านมาเป็นกองทัพแล้วนะ มันไปหลอกนักเพลงกระจอกๆคนนึง ไปขโมยเพลงเขามาร้อง จนดังลั่นขึ้นมาได้”
“อะแฮ่ม”
“ดีนะ ที่นักแต่งเพลงคนนั้นเขาทั้งจน ทั้งกระจอก เขาเลยไม่มีแรงไป สู้เรื่องลิขสิทธิ์กับมัน”
“ทร พี่ไปรอที่รถนะ”
ทูนอินทร์ผละไปทันที
“พี่หอย หยุดเถอะ” อินทรห้าม
“หยุดทำไม”
“นักแต่งเพลงกระจอกคนนั้นน่ะ คือพี่ทูนครับ”
“หา....อยากตาย”
หอยทำท่าจะเป็นลม อินทรและมะปรางต้องช่วยรับไว้ รุ้งระวีมองไปที่ทูนอินทร์อย่างเป็นห่วง

เมื่อกลับมาถึงบ้าน อินทรเล่าเรื่องของทูนอินทร์ กับฟ้าใสให้ฟัง จี่หอยจ๋อยไปเลย
“ใครจะไปรู้ว่าคือคุณทูน ถ้างั้นแหล่งข่าวก็ผิด ไม่ใช่นักแต่งเพลงกระจอกเสียหน่อย รวยออกอย่างนี้ เอ...แล้วทำไมคุณทูนไม่ฟ้องร้องละคะ” จี่หอยถาม
“เฮ้อ....พี่ทูนเขาเจ็บมากนะครับงานนี้ เขาอยากจะลืมเรื่องของฟ้าใสให้หมด เลยไม่ได้เอาเรื่อง”
“แสดงว่าพี่ทูนรักเธอมากใช่ไหมคะ” มะปรางซัก
“ก็....จดทะเบียนแต่งงานกันแล้วละครับ”
“ลมชัก”
จี่หอยทำท่าจะเป็นลม รุ้งระวีถอนใจ เสียงขลุ่ยดังแว่วมา น้ำเสียงดูเศร้าสร้อย
“ใครเป่าขลุ่ยคะ”
“อยู่ที่เพิงน่ะครับ พี่ทูน”
รุ้งระวีมองไป แล้วตัดสินใจลงจากเฉลียงไป
“เรื่องพี่ทูนเศร้าจังค่ะ” มะปรางบอก
“เฮ้อ...พี่ก็ปากไม่ดี ไม่น่าพูดออกไปเลย”
“ทำไมพี่ถึงรู้ว่ายายฟ้าใสเธอร้ายละครับ” อินทรสงสัย
“เคยประชันคอนเสิร์ตกันค่ะ มันแกล้งยายแจงกับเจ๊ขวัญข้าวบนเวที ร้องแทบไม่ออกไปเลย นี่แหละร้ายตัวแม่เรยาตัวจริงค่ะ คอนเฟิร์ม” จี่หอยนึกถึงฟ้าใสแล้วเหยียดปาก
รุ้งระวีเดินมาที่เพิง พบทูนอินทร์กำลังเป่าขลุ่ยเพลงสะพานรุ้ง อย่างเศร้าสร้อย ทูนอินทร์จบเพลงทันทีเมื่อเห็นรุ้งเดินเข้ามา
“เพราะมาก”
“เมื่อกี้ต้องขอโทษแทนฟ้าใสด้วยนะ ที่แสดงกิริยาไม่ดีใส่รุ้ง โดยเฉพาะที่เขียนโน้ตแบบนั้น”
“ไม่รู้สึกอะไรหรอกค่ะ เจอนักร้องร่วมค่ายแบบนี้จนชินแล้ว”
ทูนอินทร์หัวเราะ รุ้งระวีหัวเราะตาม
“แต่...ท่าทางเธอยังหวงคุณอยู่”
“ไม่หรอกครับ แค่อิจฉาที่เห็นผมอยู่กับรุ้งละมั้ง”
“ทำไมต้องอิจฉา”
“ก็รุ้งกำลังดังนี่ครับ ฟ้าใสไม่ชอบให้ใครมาดังเกินหน้าเขา อีกอย่างเขาคงคิดว่าเราเป็น...แฟนกัน”
รุ้งระวีเขินตาม
“ก็เลยอิจฉาเป็นสองเท่า”
ทั้งสองไม่กล้ามองหน้ากัน นิ่งๆกันไป รุ้งระวีตัดสินใจถามโดยไม่มองหน้า
“แล้ว ถ้าฟ้าใสยังรู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของคุณขนาดนี้ คุณล่ะยังอาลัยเธออยู่รึเปล่า”
“ผมตัดเธอไปนานแล้ว ถ้าจะอาลัยก็แค่อย่างเดียว”
“อะไรคะ”
“เสียงร้องของเธอ....”
ทูนอินทร์มองไปไกลยังทุ่งและเขาเบื้องหน้า นึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 3 ปีที่แล้ว...
ฟ้าใสได้มาฝึกร้องเพลงกับเมธ ขณะที่เมธเล่นเปียโน ฟ้าใสร้องด้วยเสียงอันไพเราะ ทูนอินทร์เข้ามาฟัง แล้วเคลิ้มไปกับเสียง ฟ้าใสหันมามองแล้วยิ้มให้ทั้งๆที่กำลังร้อง
ทูนอินทร์เล่าถึงความรู้สึกของเขาตอนนั้น...
“เพราะเสียงร้องของเธอแท้ๆ ที่ทำให้ผมหลง เธอเข้าอย่างจัง”
วันนั้น...เมื่อฟ้าใสร้องจบเพลง ทูนอินทร์เดินเข้าไปหา ฟ้าใสรีบไหว้ เมธแนะนำ
“ทูน นี่ฟ้าใส นักร้องคนใหม่ของร้านเรา เป็นไงเสียงดีไหม”
“นึกว่าได้ยินเสียงสวรรค์”
ฟ้าใสหัวเราะ
“ชมเกินไปแล้วค่ะพี่”
“ทูนเป็นหุ้นส่วนของพี่ที่ร้าน และเราจะคิดจะเปิดบริษัทเพลงเล็กๆของเราเองด้วย”
ฟ้าใสได้ฟังอย่างนั้น รีบบอกทันที
“เปิดเมื่อไหร่ ฟ้าขอเป็นนักร้องในสังกัดเลยนะคะ”
“ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เสียงแบบนี้แหละที่ผมหามานานแล้ว”
ฟ้าใสเขินอาย กับคำชมของทูนอินทร์
หลังจากวันนั้น...ทูนอินทร์สนิทกับฟ้าใสมากขึ้นเรื่อยๆ เขาได้สอนเกี่ยวกับเรื่องโน๊ต และวิธีการร้องให้ กระทั่งการร้องเพลงของเธอพัฒนาขึ้นไปมาก...
ทูนอินทร์นึกถึงความหลังแล้วทอดถอนใจ...
“เราสนิทกันมากขึ้นทุกที จนอาจจะเรียกได้ว่ามันคือความรัก”
รุ้งระวีแปลกใจ
“สวีทกันขนาดนั้น ยังไม่ใช่ความรักอีกหรือคะ”
“ยังหรอกครับ จนกระทั่งถึงวันนึงที่ผมยอมรับว่าผมรักฟ้าจริงๆ”
ทูนอินทร์เล่าถึงเหตุการณ์ที่ร้านต้มแซ่บ ฟ้าใสกำลังร้องเพลงอยู่บนเวที อินทร หนาน คูน เมธช่วยกันเล่นดนตรีครบวง ทูนอินทร์นั่งอยู่มุมร้าน
“เดี๋ยวค่ะพี่ขา หยุดก่อน”
ฟ้าใสบอก ทั้งกลุ่มหยุดเล่น
“เพลงนี้เป็นเพลงที่พี่ทูนแต่งให้ฟ้าร้อง ขอเชิญพี่ทูนหน่อยค่ะ”
ทูนอินทร์แปลกใจ แต่ก็ขึ้นไปบนเวที
“ฟ้าจะร้องเพลงนี้ไม่ได้เลย ถ้าพี่ทูนไม่ช่วยสอน ฟ้าอยากให้พี่ทูนร้องเพลงนี้กับฟ้าค่ะ”
ทูนอินทร์กระซิบ
“ฟ้าก็รู้ ผมร้องไม่ได้หรอก ต่อหน้าคนเยอะๆอย่างนี้”
“พี่ทูนสอนฟ้าร้องได้ ก็ต้องร้องต่อหน้าคนอื่นได้ซีคะ”
“ผมไม่กล้า”
“เอาอย่างนี้ มองหน้าฟ้านะคะ เราจะร้องเพลงนี้ด้วยกัน พี่ทูนร้องเพลงนี้ให้ฟ้าคนเดียว ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว นอกจากเราสองคน”
ฟ้าใสพยักหน้า เมธขึ้นดนตรีอีกครั้ง เธอเริ่มร้องนำขึ้นก่อน ทูนอินทร์ยังประหม่า ร้องไม่ออก หันไปมองทางคนฟัง ฟ้าใสจับแก้มของทูนอินทร์หันมาที่ตน
“ร้องตามฟ้าซีคะ....”
ทูนอินทร์ร้องตามอย่างตะกุกตะกักเต็มที ฟ้าใสยื่นหน้าจนแก้มแนบแก้ม แล้วกอดทูนอินทร์ไว้ เขาหลับตาแล้วร้องไปพร้อมๆกับฟ้าใส
ทุกคนต่างพากันประหลาดใจ ฟ้าคลายกอด ทูนอินทร์ค่อยๆลืมตาขึ้น และร้องเพลงร่วมกับฟ้าใสได้อย่างไม่เคะเขินอีกต่อไป ฟ้าใสให้ทูนอินทร์หันไปมองทางคนฟัง ที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับเสียงของทั้งสอง ทูนอินทร์ยิ้มออกมาได้ และร้องร่วมกับฟ้าจนถึงท่อนสุดท้าย ที่โหนเสียงสูงประสานกันและกัน จนจบเพลงคนดูปรบมือสนั่นร้าน
“ผมร้องเพลงต่อหน้าคนได้แล้ว” ทูนอินทร์บอกอย่างดีใจ
“เห็นไหมคะว่าพี่ทำได้”
อินทรเข้ามาแสดงความยินดีกับทูนอินทร์
“พี่หายแล้วนะพี่ทูน”
“ยินดีด้วยว่ะ” เมธยิ้มให้
“คนชอบกันใหญ่เลยพี่” หนานเห็นด้วย
คูณหันไปมองฟ้า...
“น้องฟ้าทำยังไงเนี่ย”
“ฟ้า ขอบคุณมาก”
ทูนอินทร์กับฟ้าใสยิ้มให้กัน

รุ้งระวีฟังอย่างทึ่งๆ
“เธอช่วยให้คุณร้องเพลงต่อหน้าคนได้อีกครั้ง”
“ครับ แล้วผมก็รู้ว่าชีวิตผมคงขาดเธอไม่ได้อีกแล้ว เราตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน แต่แล้ว....”
ทูนอินทร์เล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นว่า...บ่ายวันหนึ่งขณะที่นั่งทานข้าวอยู่ด้วยกันที่เฉลียง ทูนอินทร์หยิบการ์ดแต่งงานขึ้นมาโชว์ให้ฟ้าใสดูอย่างตื่นเต้น
“การ์ดแต่งงานสวยจัง”
“งานเราจะจัดกันเองนะครับ เล็กๆในครอบครัว ฟ้าคงไม่ว่า”
“โธ่ พี่ทูนขา ฟ้าไม่ชอบอะไรที่มันเอิกเกริกอยู่แล้ว เออ...พี่ทูนคะ เรื่องที่พี่จะเปิดบริษัทเพลง ไปถึงไหนแล้ว”
“คงรอไปอีกหน่อย เพราะพี่กับพี่เมธยังไม่พร้อม เรายังต้องหาตลาดที่แน่นอนกว่านี้”
ฟ้าใสสลดไป ทานอาหารต่อเงียบๆ
“เออ ฟ้าขอตัวสักครู่นะคะพี่”
ฟ้าใสแยกมาลำพัง แล้วหยิบมือถือขึ้นมา น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นนางยั่วทันที
“เสี่ยขา ฟ้าค่ะ ตกลงฟ้าตัดสินใจแล้วฟ้าจะไปอยู่กับเสี่ย แต่เสี่ยก็ต้องทำตามสัญญานะคะว่าเสี่ยจะปั้นฟ้าให้ดังให้ได้ งานนี้ฟ้ามีของขวัญไปให้เสี่ยด้วย...ของขวัญที่ว่า คือเพลงของนายทูนน่ะซีคะ เพราะๆ ทั้งนั้นรับรองเราเอาไปดัดแปลงนิดหน่อย ต้องดังระเบิดทุกเพลง แล้วนายทูนก็ไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้องเราด้วย เพราะทุกเพลง...ไม่ได้จดลิขสิทธิ์”
ฟ้าใสแอบเข้าไปในห้องทำงานของทูนอินทร์ ที่ค่อนข้างสลัว หยิบเนื้อเพลงและโน้ตออกมาจากลิ้นชัก ใช้มือถือถ่ายทุกหน้าทุกเพลงที่ทูนอินทร์แต่งไว้ แล้วยิ้มออกมาอย่างพอใจที่จะเห็นตัวเองมีอนาคตที่ดี

ทูนอินทร์น้ำตาคลอ เจ็บปวดกับสิ่งที่เล่า...
“ผมไม่นึกเลยว่า ที่ฟ้าทำดีกับผม ก็เพื่อต้องการให้ผมสร้างความโด่งดังให้ตัวเธอ ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่า เธอติดต่อกับเสี่ยดำรงลับๆ จนเสี่ยสัญญาว่าจะปั้นเธอเป็นนักร้องในสังกัด”
ทูนอินทร์พูดแล้วหยุดไป ด้วยความสะเทือนใจ
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
“เธอหนีจากผมไป ก่อนวันแต่งงานแค่สองสามวัน”
“แล้วที่พี่หอยบอกว่า เธอขโมยเพลงของคุณไปด้วย จริงเหรอ”
ทูนอินทร์แค่นยิ้มออกมา
“ครับ ผมมันก็โง่ที่ไม่ได้จดลิขสิทธิ์ไว้ เพลงดังๆของเธอดัดแปลงจากเพลงผมไปทั้งนั้น อย่างเพลง จันทร์เจ้าเอ๋ย นั่นก็คือเพลงแสงจันทร์ ที่ผมแต่งที่ใต้ต้นแสงจันทร์ นี่ละครับ”
ทูนอินทร์น้ำตารื้น
“ทำไมไม่ฟ้อง”
“ผมไม่ได้เสียดายเพลงของผมหรอก ผมเสียดายความรักที่ผมมีให้เธอต่างหาก ทุ่มเทให้เธอทุกอย่างเพื่อที่จะรู้ว่าผมไม่มีค่าอะไรเลยในสายตาของเธอ ผมมันไร้ค่า”
ทูนอินทร์เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา หันหลังให้ รุ้งระวีเดินเข้ามาหา จับมือทูนอินทร์ไว้
“อย่ามองตัวเองด้อยค่าอย่างนั้นซีคะ คุณมีค่าเสมอ แล้วก็อย่ายอมให้เธอมาทำลายความเชื่อมั่นในตัวคุณด้วย”
“มันไม่ง่ายหรอกครับ” ทูนหัวเราะหยันตัวเอง “เพราะหลังจากที่ฟ้าทิ้งผมไป ผมก็กลับเป็นไอ้บ้าคนเดิม ที่ไม่กล้าร้องเพลงให้ใครฟังอีก อย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ เพราะร้องทีไร มันก็เจ็บ...”
ทูนอินทร์พูดได้เท่านั้น ก็กลั้นสะอื้นไว้ไม่อยู่
“.....มันเจ็บเหลือเกิน”
ทูนอินทร์ร้องไห้สะอื้น รุ้งระวีดึงเขาเข้ามากอดไว้อย่างปลอบประโลม
“ฉันเข้าใจค่ะ ไม่เป็นไรนะ มันคืออดีต ให้มันผ่านไปเถอะค่ะ”
ทั้งสองกอดกัน ขณะที่พระอาทิตย์อัสดงหลังขุนเขา เป็นสีทองไปทั้งท้องทุ่ง

ค่ำคืนนั้น รุ้งระวี กับทูนอินทร์ นั่งอยู่ด้วยกันในมุมหนึ่งของร้านต้มแซ่บ มะปราง จี่หอย นั่งโต๊ะแถวหน้าเวที บนเวที เมธ หนาน คูน และอินทรกำลังเล่นและร้องเพลงอย่างสนุกสนาน
ขณะเดียวกันที่หน้าร้าน รถเบนซ์เข้ามาจอด ฟ้าใสก้าวลงมาจากรถ มองไปยังตัวร้าน ถนอมคนขับรถรีบลงมา
“คุณฟ้าครับ คุณเมามากแล้วนะ กลับโรงแรมเถอะครับ”
“ไม่กลับ ฉันยังมีธุระที่ร้านต้มแซ่บต้องเคลียร์อีกเยอะ”
ฟ้าใสจะเดินไปแล้วเซ ถนอมช่วยประคอง
“ปล่อยโว้ย”

ฟ้าใสหยิบแว่นสีชาขึ้นมาใส่พรางใบหน้า แล้วเดินตรงไปในร้านต้มแซ่บอย่างนางพญา
จบตอนที่ 6
อ่านต้มยำลำซิ่ง ตอนที่ 6/3
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์