หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อ่าน ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 7 วันที่ 6 กรกฎาคม 2555

อ่าน ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 7 วันที่ 6 กรกฎาคม 2555

ทองประศรีไม่เห็นด้วย เพราะทุกคนในละแวกนี้รู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว ใครเขาจะเชื่อ

ขณะกำลังวุ่นวายกับการหาคนเป็นเจ้าบ่าวแทนอาทิจนั่นเอง เวทางค์ก็ก้าวลงจากรถมาอย่างเท่ ตามด้วยวิยะดาที่ประโคมแต่งมาราวกับจะขึ้นเวทีประกวด

สิงห์ทองกับคำมาวิ่งออกมาต้อนรับอย่างแสนจะนอบน้อม เชิญทั้งสองเข้าไปนั่งในบ้าน

ครู่เดียว เวทางค์ก็โวยวายเมื่อฟังสิงห์ทองมากระซิบกระซาบจบ

“เฮ้ย...จะมาจับมัดมือชกอย่างนี้ได้ไง!! ไม่เอา!! ฉันจะกลับบ้าน”

สิงห์ทองแทบจะกราบให้ช่วยรักษาหน้าลูกสาวตนด้วย ไพฑูรช่วยพูดว่าพวกตนก็อยากช่วย แต่ติดอยู่ที่ว่าชาวบ้านแถวนี้รู้จักพวกตนหมดแล้ว ตุ๊เยินยอว่าใครเห็นก็ต้องเชื่อว่าเขาคืออาทิจหลานคุณย่าแดง เพราะหล่อ เท่ ผิวพรรณดูดี หน้าตาก็ดูมีการศึกษา ทองประศรีแทรกเข้ามาขู่ว่า “ถ้าคุณไม่ช่วยศรี ศรีก็จะฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอดไป”

เวทางค์ถูกรุกหนัก หันถามวิยะดาว่าเอาไงดี วิยะดา ให้เลือกเอา ระหว่างยอมขายหน้าคนที่นี่ที่มีไม่กี่สิบคนหรือจะยอมขายหน้าทั้งประเทศที่ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งตายเพราะบีบจมูกตัวเอง

“ก็ได้...แต่อย่าถ่ายรูปให้เห็นหน้านะเว้ย ไม่งั้นฉันฟ้องคุณพ่อให้เล่นงานพวกแกทุกคนแน่”

บรรดาผู้เกี่ยวข้องที่เป็นคนวงใน พากันดีใจเหมือนรอดตาย แล้วพิธีแต่งงานก็ดำเนินไปโดยมีเวทางค์นั่งตั่งเป็นเจ้าบ่าวที่ก้มหน้างุดคอยหลบกล้องตลอดเวลา

ตกบ่าย อาทิจอยู่ที่แปลงปลูกข้าวโพด ต๊อด อึ่ง และพัน พากันหัวเราะร่ามาเล่าเรื่องงานแต่งงานให้ฟัง ผลัดกันเล่าแล้วพากันขำกลิ้ง จนอาทิจบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าขำเลย จะหัวเราะอะไรกันนักหนา

ขำกันจนพอแล้วอึ่งบอกว่า ทางนู้นฝากมาบอกให้เขาไปงานเลี้ยงฉลองคืนนี้ด้วย แล้วจะได้ส่งตัวเข้าหอเลย

“ฉันเคยบอกพวกนายแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันจะไม่ไปที่นั่นอีก” อาทิจหน้าขรึม

“อ้าว...แล้วจะหาใครเป็นตัวแทนล่ะทีนี้” เกร็งทำหน้าเหลอ มองคนโน้นคนนี้ให้ตัวเองอยู่ในสายตาของทุกคน...

ooooooo

บ่ายแก่ๆ เวทางค์กับวิยะดากลับมาที่ห้องพักผ่อนของคุณย่า วิยะดาหว่านล้อมให้เวทางค์กลับไปให้เขาส่งตัวเข้าหอแทนอาทิจอีกครั้ง คราวนี้เป็นตายอย่างไรเวทางค์ก็ไม่ยอม บอกว่าแค่เมื่อเช้าก็สยองแย่แล้ว

กลัวจะถูกพ่อแม่ทองประศรีตามมาอาละวาดอีก เวทางค์ชวนวิยะดารีบกลับดีกว่า ส่วนคุณย่าเอาไว้วันหลังค่อยมาใหม่ก็ได้ วิยะดาบ่นว่ายังโชว์ชุดใหม่ราคาห้าหมื่นไม่หนำใจเลย เวทางค์รับปากว่า เดี๋ยวพาไปเดินโชว์ในเมืองต่อก็แล้วกัน

เพราะคุณย่าสั่งให้ไปดูที่ปลูกกะหล่ำปลีกับอาทิจ ดรุณีไปนั่งอ่านตำรารอที่มุมโปรดของตัวเอง อ่านไปอ่านมาเริ่มง่วงเลยท่องเสียงดัง

อาทิจมาเดินสำรวจดิน ได้ยินเสียงดรุณีท่องตำราการดูดินและใส่ปุ๋ย ท่องตรงไหนติดขัดอาทิจก็บอกให้ เธอตกใจถามว่ามาได้ยังไง ที่นี่เป็นที่เดินเล่นของตน

“คุณมีอะไรที่เป็นของคุณเยอะจัง น้ำตก ภูเขา ที่ดิน บ้าน หรือแม้แต่คุณย่าก็เป็นของคุณ” ดรุณีเถียงฉอดๆ อาทิจเลยตัดบทเชิงอบรมว่า “ไม่มีใครเป็นเจ้าของใครหรือเป็นเจ้าของอะไรได้ตลอดไปหรอกครับ คุณอาจจะครอบครองได้แค่ช่วงเวลาหนึ่ง แล้วมันก็จะต้องเปลี่ยนมือเป็นของคนอื่น”

“ไหนนายบอกจะไม่แย่งทุกอย่างไปจากฉัน ไม่แย่งคุณย่าไปจากฉันไง”

“ผมไม่ได้หมายถึงตัวผม ผมพูดถึงมนุษย์ในโลกนี้ทุกคนว่า ไม่มีใครเป็นเจ้าของใครหรืออะไรได้ตลอดไป เพราะไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า คุณเข้าใจไหมครับ คุณดรุณี”

ดรุณีเถียงไปข้างๆคูๆ พอถูกต้อนจนเถียงไม่ออก ก็ทำเป็นหลอกตะโกนว่าคุณย่ามาแล้ว แล้วฉวยจักรยานปั่นออกไปเลย

ooooooo

พอกลับถึงบ้านก็โผเข้ากอดคุณย่าอ้อนว่าคิดถึงคุณย่าจัง คุณย่ายิ้มอย่างเอ็นดูเล่าว่า ตอนออกจากที่สัมมนาเจอประเวศน์ บอกว่าเวทางค์กับวิยะดาไป งานแต่งของอาทิจ ถามว่าแล้วเป็นอย่างไรบ้าง

ดรุณีเล่าอย่างสนุกปากว่า ชุลมุนชุลเกกันใหญ่ คุณย่าฟังแล้วบอกว่า ที่อาทิจยอมแต่งงานก็เพราะอยากให้เรื่องจบๆไป และคงไม่ตั้งใจไปงานแต่แรกแล้ว วันนี้เลยไม่ไป

น้าแก้วบอกว่าวันนี้โล่งอกไปแล้ว แต่ไม่รู้พรุ่งนี้มะรืนนี้จะมีอะไรมาอีก และอาทิจจะทนมารยาร้อยเล่มเกวียนของทองประศรีได้หรือเปล่าก็ไม่รู้

“เราอย่ามองโลกในแง่ร้ายเลยค่ะน้าแก้ว เขาอาจจะอยู่กันอย่างมีความสุข มีลูกหัวปีท้ายปีกันก็ได้”

คุณย่าชมดรุณีว่าคิดดีกับเขาก็เป็นด้วย แล้วบอกให้เอาแกงโฮะไปให้อาทิจที เพราะประธานชมรมให้มามากมายเหลือเกิน ดรุณีหุบยิ้มทันทีถามว่า “ทำไมต้องเป็นหนู ให้จิ๋วแจ๋วไปก็ได้นี่”

“นึกแล้วว่าคิดดีก็คิดได้แป๊บเดียว” คุณย่าพูดยิ้มๆ แต่ดรุณีหน้าง้ำ คิดเถียงในใจว่า ตั้งแต่อาทิจมาคุณย่าไม่เคยชมตนเลย ถึงชมก็แป๊บเดียวเหมือนกัน

ooooooo

จนเย็น อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว อาทิจมานั่งเคลียร์บิลที่ไปซื้อของมา สามเกลอยืนหน้าเป็นอยู่ข้างๆ ถามว่าตกลงไม่ไปงานเลี้ยงแต่งงานจริงๆหรือ อาทิจตอบโดยไม่เงยหน้าว่า “ไม่”

อึ่งสอดขึ้นว่างั้นไว้รอเข้าหอเลยทีเดียวก็ได้ เดี๋ยวตนช่วยส่งตัว พันกับต๊อดขอเอาด้วย

“ดูพวกนายอยากไปกันเหลือเกินนะ งั้นพวกนายก็ไปสิ แต่ฉันไม่ไปนะ”

สามเกลอบ่นว่าเสียดายเงิน จ่ายไปตั้งหมื่นหนึ่ง อาทิจบอกว่าซื้อความรำคาญและตนก็จะต้องรีบทำงานหาเงินคืนคุณย่าด้วย ต๊อดเห็นท่าจะกล่อมไม่สำเร็จ เหลือบเห็นดรุณีเดินมาแต่ไกลก็พูดเป็นนัยว่า

“ก็ดีเหมือนกัน รักนวลสงวนตัวไว้ให้ใครอีกคนดีกว่า นั่นไงพูดถึงก็มาพอดี อายุยืนจริงๆ”

ดรุณีมาถึงก็พูดเสียงดังบอกสามเกลอกระแทกไปถึงอาทิจว่า

“บอกนายของพวกนายด้วยว่าคุณย่าให้เอาแกงโฮะมาให้”

อึ่งแซวว่าพูดดังขนาดนี้นายได้ยินแล้วล่ะ อาทิจเลยขอบใจทั้งที่ยังก้มหน้าเคลียร์บิลอยู่

สามเกลอหาทางแกล้งให้อาทิจไปส่งดรุณี ร้องหลอกดรุณีว่า “งู!” เธอจับได้ไล่ทันว่าถูกสามเกลอหลอก ก็จะกลับ อาทิจบอกให้ทั้งสามไปส่งเพราะแถวนี้งูชุม ถูกปฏิเสธพร้อมกันว่า “พวกเรากลัวงู” อาทิจรำคาญเลยไปส่งเอง

ระหว่างทาง ดรุณีบอกอาทิจว่าเขาควรจะไปหาทองประศรีบ้าง เดี๋ยวทางโน้นจะหาว่าคนทางนี้ใจดำ อาทิจชี้แจงว่า ตนทำทุกอย่างถูกต้องแล้ว ไม่ทำให้ผู้ใหญ่ต้องเสียชื่อเสียหาย เงินก็จัดให้ตามที่เรียกร้องมา ดรุณีบอกว่าตนหมายถึงด้านจิตใจ เขาย้อนถามว่า

“คุณจะไม่ถามผมบ้างเหรอว่า ผมรู้สึกยังไง...ผมไม่ได้รักเขาและเขาก็ไม่ได้รักผม เราไม่ได้รักกัน ผมหวังว่าเราจะพูดเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้าย”

ดรุณีทำหน้าตกใจจะพูดอะไรอีก อาทิจตัดบทว่าไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว เตือนเธอว่าอย่าห่วงคนอื่นให้มากนักเลย ให้ห่วงตัวเองบ้าง ที่แท้เธอจะบอกเขาว่ามีงูเห่าแผ่แม่เบี้ยอยู่ข้างๆ พออาทิจหันไปเห็นก็วางตะเกียงพนมมือสวดมนต์แผ่เมตตา

สวดเสร็จลืมตาดู งูยังแผ่แม่เบี้ยอยู่ ดรุณีแซวว่าภาษายากเกินไปมันเลยฟังไม่รู้เรื่อง ให้ลองแบบสั้นๆ ง่ายๆไหม

อาทิจมองงงๆ ว่าเธอพูดอะไรและจะทำอะไร ดรุณีก้าวออกไปยืนตรงหน้างูเห่าที่แผ่แม่เบี้ย แล้วเธอก็แผดเสียง

“กรี๊ดดดดด!”

เท่านั้นเอง งูเห่าตกใจเลื้อยหนีไปในพริบตา เธอหันมองอาทิจ เขายังยืนอึ้งกับวิธีไล่งูของเธอ

ส่งดรุณีถึงบ้านแล้วอาทิจจะกลับ เธอถามว่าไม่เข้าไปหาคุณย่าก่อนหรือ อาทิจบอกว่าท่านเหนื่อยมาทั้งวันแล้วให้ท่านพักผ่อนดีกว่า

น้าแก้วดูทั้งสองยืนคุยกันแล้วก็อดบ่นไม่ได้ว่า ทำไมไม่เป็นคู่นี้ที่ลงเอยกัน ทำไม...?? ได้ยินเสียงคุณย่าแซวมาว่า

“คิดอะไรเบาๆบ้างก็ดีนะแม่แก้ว” แล้วคุณย่าก็คิดเบาๆเองว่า “ทำไมไม่เป็นคู่นี้ที่ลงเอยกัน...”

ooooooo

เช้าวันใหม่ คุณย่าพาดรุณีไปช่วยอาทิจปลูกข้าวโพด โดยมีสามเกลอมาช่วยเขาอยู่ก่อนแล้ว อาทิจสอนวิธีหยอดข้าวโพดลงหลุมให้ดรุณี แล้วเขาก็เป็นคนขุดหลุมให้เธอเป็นคนหยอด ระหว่างนั้นก็ให้คุณย่านั่งให้กำลังใจอยู่ข้างแปลง

อาทิจขุดหลุมอย่างมืออาชีพ ส่วนดรุณีก็ตามหยอดยิกๆ บรรยากาศกำลังสดชื่นสนุกสนานด้วยการหยอกกันไปแหย่กันมานั่นเอง ทองประศรีก็กางร่มนุ่งกระโปรงใส่ส้นสูงเดินย่องแย่งมา ไปไหว้คุณย่าแล้วอ้อนอาทิจว่า เมียจะมาช่วยปลูก

ต๊อดหมั่นไส้ บอกว่า ทุกคนจับคู่ปลูกกันหมดแล้ว เหลือพันเป็นเศษอยู่คนเดียว ให้เธอจับคู่ปลูกกับพัน ทอง–ประศรีไม่เอา เกี่ยงกันไปมา จนอาทิจเอ็ดว่าจะทำงานหรือจะคุยกัน ทองประศรีเลยจำใจต้องจับคู่กับพัน ถูกบังคับให้ถอดรองเท้าส้นสูง เก็บร่ม หยอดข้าวโพดลงหลุมตามพันไป ดูทั้งน่าขำและน่าสมเพช

ooooooo

ระหว่างพักกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหารสวนคุณย่า น้าแก้ว ดรุณี และจิ๋วแจ๋ว ช่วยกันตักอาหารแจกคนงาน จู่ๆเวทางค์กับวิยะดาก็มาที่นี่ พอมาถึงต่างก็มองหาเป้าหมายของตัวเอง อาทิจถามวิยะดาว่ามาหาคุณย่าหรือเธอบอกว่ามาหาเขา เวทางค์เอาบ้างอ้อนดรุณีว่ามาหาน้องณีคนเดียว

วิยะดาหมั่นไส้ ต่อว่าพี่ชายว่าหัดคิดเองบ้าง ดีแต่ พูดตามตนอยู่เรื่อย

สองพี่น้องมัวแต่ทะเลาะกัน พอวิยะดาหันมาอีกที อาทิจก็หายไปแล้ว ถามว่าอาทิจหายไปไหน สามเกลอแย่งกันเดาว่าไปสวนผัก หรือไปสวนกล้วย หรือไม่ก็แปลงข้าวโพด หรือแปลงสตรอเบอร์รี่ ไพฑูรนึกสนุกสอดเข้าไปบ้างว่าอาจไป สวนส้ม สองพี่น้องแค่ฟังก็งงแล้ว ไม่รู้จะไปหาที่ไหนยิ่งเมื่อเกร็งบอกว่า กว่าจะหาครบตามที่บอกก็คํ่าพอดี ก็ยิ่งหงุดหงิด

ฝ่ายทองประศรีไปหาตุ๊ที่บ้านพักของไพฑูร ให้ตุ๊นวดมือนวดเท้าให้ ปากก็บ่นอย่างเจ็บแค้นว่า

“ไอ้สามตัวนั่นมันแกล้งให้ฉันถอดรองเท้าวิ่งหยอดข้าวโพดกลางแดดเปรี้ยงๆ ดูสิพี่ตุ๊ ฉันจะกลายเป็นเนื้อแดดเดียวไปทั้งตัวแล้ว มือไม้ก็ถลอกปอกเปิกบวมฉึ่ง เล็บเลิบพังหมด”

ตุ๊ถามว่า แล้วอาทิจไม่ห้ามพวกนั้นเลยหรือ ทอง–ประศรีทำหน้างํ้าบอกว่า แม้แต่มองก็ยังไม่มองเลย เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเดียว

ตุ๊บอกว่า ขนาดหน้ายังไม่มองแบบนี้ ขืนปล่อยไว้มีหวังเสียของแน่ ยุว่า

“เขาไม่มอง เราก็ต้องทำให้เขามองเราให้ได้” ชี้ลงไปจะจะว่า “เขารักใคร เกรงใจใคร ก็ไปหาคนนั้นสิ”

ooooooo

อ่าน ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 7 วันที่ 6 กรกฎาคม 2555

โดย บทประพันธ์ กาญจนา นาคนันทน์ จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 3 โดย ปารดา กันตพัฒนกุล
ที่มา ไทยรัฐออนไลน์