หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อ่าน ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 8 วันที่ 8 กรกฎาคม 2555

อ่าน ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 8 วันที่ 8 กรกฎาคม 2555

“เออ...เข้านอนแต่หัววันบ้างก็ดี จะได้พักตาพักสมอง พักหูบ้าง ไม่งั้น วันๆเอาแต่เล่นเกมส์ ฟังเพลงภาษาอะไรบ้างก็ไม่รู้ พ่อฟังแล้วปวดหัว”

สองพี่น้องงอแงยังไม่อยากนอน วิไลลักษณ์ต้องจ้างให้นอนคนละสามพัน เวทางค์ขอห้าพัน สุดท้ายแม่ก็ต้องยอม แต่มีข้อแม้ว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า เพื่อขับรถส่งดรุณีไปสอบ

รุ่งขึ้น ดรุณีในชุดนักเรียนมัธยมปลายมานั่งรับพรจากคุณย่าก่อนไปสอบ เธอกราบที่ตักคุณย่า สัญญาว่าจะตั้งใจทำข้อสอบให้เต็มที่ น้าแก้วบอกให้รอเดี๋ยวตนจะไปเรียกตาเกร็งมาขับรถให้

น้าแก้วไม่ทันไป เวทางค์ก็เข้ามาบอกว่าตนจะไปส่งแล้วรอรับน้องณีกลับเอง คุณย่าไม่ต้องห่วง

บนถนนในสวนคุณย่านั่นเอง อาทิจ ต๊อด อึ่ง และพันถือเครื่องมือทำการผลิตกำลังจะไปที่แปลงกะหล่ำปลี อาทิจเห็นดอกหญ้าเล็กๆสีหวานที่พื้น ก็เก็บขึ้นมาดูและเดินปั่นก้านดอกเล่นไปตามทาง

เวทางค์ขับรถพาดรุณีผ่านมา เขาชะลอรถและเปิดกระจกทักหมายเย้ยอาทิจ สามเกลอเห็นดรุณีรู้ว่ากำลังจะไปสอบก็พากันเต้นเชียร์ลีดเดอร์ดูทั้งน่ารักและทะเล้น ดรุณีจึงลงจากรถไปขอบใจ อาทิจมือถือดอกหญ้ายืนกอดอกดูสามเกลอเต้นเสร็จ เอามือลงพอดี ดรุณีหันมาเห็นเหมือนเขาจะยื่นดอกไม้ให้ เธอขอบใจ รับดอกหญ้าไป

“โชคดีนะ” อาทิจอวยพร เวทางค์มองอย่างไม่พอใจบอกว่าสายแล้ว เร่งให้รีบขึ้นรถ แล้วเร่งเครื่องไปเลย

เวทางค์คอยจนดรุณีสอบเสร็จ เขามารับพร้อมดอกไม้ต่างประเทศช่อโตยื่นให้บอกว่า “แด่ความสำเร็จของน้องณี” แล้วชวนไปฉลองกัน

“ฉลองอะไรคะพี่เว จะออกหัวออกก้อยยังไม่รู้เลย รีบกลับดีกว่าค่ะ ณีอยากกลับไปเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้”

ooooooo

กลับมาเจอคุณย่าเคลียร์บิลกับอาทิจเสร็จพอดี อาทิจจึงขอตัวไปทำงานต่อ แต่ชะงักเมื่อเห็นดรุณีถือดอกไม้ช่อโตลงจากรถ เวทางค์ตามลงมา พอเห็นอาทิจ เวทางค์ก็แกล้งถามคุณย่าเย้ยอาทิจว่าดอกไม้สวยไหม ตนซื้อให้น้องณี น้องชอบมากเลย

อาทิจสะท้อนใจเมื่อนึกถึงดอกหญ้าที่ตนให้ดรุณีไปเมื่อเช้านี้ เขาลุกขึ้นขอตัวกับคุณย่าจะไปทำงานต่อ พออาทิจเดินไป ดรุณีถามคุณย่าว่าอาทิจจะรีบไปไหน พอรู้ว่าเขาจะไปปลูกกะหล่ำ ก็ถามอย่างระแวงว่าปลูกตรงไหน

“ก็เนินที่คุณณีชอบไปวิ่งให้น้าแก้วไล่ตามตอนเด็กๆไงคะ” น้าแก้วตอบแทน

“อะไรนะ!” ดรุณีเสียงดัง หน้าตาเอาเรื่องขึ้นมาทันที

ชั่วอึดใจเดียว เธอก็ไปอาละวาดกับอาทิจ หาว่าเขาไม่ทำตามสัญญาที่เคยบอกว่าจะไม่แย่งของของตน อาทิจถามงงๆว่าตนแย่งอะไร

ดรุณีอ้างว่าที่ตรงนี้เป็นที่ที่ตนวิ่งเล่นมาแต่เด็กจะมาแย่งไปปลูกผักได้ยังไง ทำไมต้องมาแย่งที่ของตนด้วย

คุณย่าเดินเข้ามาถามว่าจะเก็บที่ตรงนี้ไว้ทำอะไรถ้ามีเหตุผลเพียงพอ ย่าก็จะให้อาทิจย้ายไปปลูกที่อื่นแทน ดรุณีสะอึกไปนิดหนึ่งคิดไม่ถึงว่าคุณย่าจะมา ตั้งสติหาเหตุผลและเรียบเรียงคำพูดให้ฟังน่าเชื่อถือว่า

“ก็...ที่นี่เป็นที่ที่เป็นความทรงจำของหนูกับ

คุณย่า” คุณย่าบอกว่าทุกที่ที่นี่เราล้วนเคยเดินไปด้วยกันมิต้องถือว่าเป็นความทรงจำหมดหรือ ดรุณีฟังแล้วจุกไปถึงยอดอก แต่ก็ยังอ้างข้างๆคูๆว่า “แต่...ที่นี่สำคัญมากสำหรับหนู ทุกครั้งที่คุณย่าออกไปข้างนอก หนูจะมายืนรอคุณย่าที่นี่ มันเป็นที่ที่ทำให้หนูเห็นคุณย่ากลับมา”

“เราจะเก็บภูเขาทั้งลูกเอาไว้มองใครเพียงคนเดียวกลับมาหาเราอย่างนั้นหรือ แล้วถ้าวันไหนย่าไม่กลับมาล่ะ”

ดรุณียังตะแบงไปตามประสา คุณย่าจึงอบรมว่า ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าหรอก เราทุกคนต้องตาย อยู่ที่ว่าเธออยากให้ย่าตายแล้วหายไปจากโลกนี้ หรืออยากให้มีคนพูดถึงย่าในแง่ดีบ้างเท่านั้น

อาทิจไม่อยากให้เป็นปัญหา บอกคุณย่าว่าตนย้ายที่ปลูกก็ได้ คุณย่ายังคงอบรมดรุณีต่อไปว่า

“ย่าเลี้ยงแม่ณีมา สอนให้รู้จักช่วยเหลือตัวเองเป็นทุกอย่าง เพราะอยากให้แม่ณีโตและยืนบนลำแข้งของตัวเองให้ได้ ถ้าแม่ณียังเป็นลูกแหง่อยู่อย่างนี้ ย่าคงต้องพิจารณาตัวเองว่าเลี้ยงเรามาไม่ดีพอ”

ดรุณีน้ำตาร่วง ยกมือไหว้ขอโทษคุณย่า อาทิจไม่ สบายใจเสนอจะย้ายไปปลูกที่อื่นดีกว่า ดรุณีเป็นฝ่ายพูดขึ้นเองว่า เขาจะปลูกให้เต็มเนินไปกี่ลูกก็ได้ ต่อไปนี้ตนไม่ว่าอะไรเขาอีกแล้ว คุณย่าอบรมอย่างเมตตาห่วงใยอีกว่า

“ย่าอยากให้แม่ณีเข้าใจเรื่องนี้ด้วยหัวใจและเหตุผล เพราะมันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าเราต้องฝืนใจทำอะไรเพื่อใครโดยที่เราไม่เข้าใจ”

“หนูเข้าใจค่ะคุณย่า หนูผิดที่คิดอะไรแบบเด็กๆ หนูขอโทษ”

“แม่ณีต้องก้าวข้ามการเป็นเด็กติดย่า ไปเป็นผู้ใหญ่ที่อยู่ในโลกของความเป็นจริงให้ได้ หมดเวลาที่เราจะคิดน้อยใจอะไรเป็นเด็กๆแล้ว จะเหลือก็แต่เวลาที่เราจะต้องร่วมมือกับพี่เขา สานต่องานที่สวนที่ไร่นี้ต่อไปเท่านั้น เข้าใจไหมลูก”

“ค่ะ” ดรุณีรับคำ เช็ดน้ำตาป้อยๆ

ทันใดนั้นเอง เกร็งก็วิ่งกระหืดกระหอบมาบอกว่าทองประศรีหอบข้าวของไปอยู่ที่บ้านอาทิจแล้ว ทุกคนชะงักหันมองหน้าอาทิจอย่างเห็นใจ...

ooooooo

ทองประศรีขนข้าวของมาอยู่ที่บ้านพักของอาทิจ ตกเย็นก็อาบน้ำประแป้งพรมน้ำหอมรอรับอาทิจพร้อมสำรับกับข้าวมีปลาร้าของโปรดของเขาด้วย

ปรากฏว่าอาทิจไม่กลับไปที่บ้าน แต่ไปกินข้าวบ้านคุณย่า กินข้าวเสร็จ น้าแก้วบอกว่าให้นอนที่นี่เสียเลยเพราะแปลงปลูกกะหล่ำอยู่ใกล้แค่นี้จะได้ไม่ต้องเดินไกล แล้วรวบรัดจะจัดที่นอนให้

“ไม่ต้องหรอกครับน้าแก้ว รบกวนเปล่าๆ ผมจะรักษาตัวให้รอดครับ” คุณย่าถามว่า จะหลบไปไหนได้ทางโน้นคงตามตอแยทั้งคืนแน่ อาทิจพูดยิ้มๆว่า “เขาคงไม่กล้าฉุดผมหรอกมังครับ”

“เออ...ถ้าโดนฉุดขึ้นมาก็ร้องให้มันดังๆนะ ย่าจะส่งคนไปช่วย” คุณย่าพูดขำๆ

เมื่อทองประศรีขนของไปอยู่ที่บ้านพัก อาทิจจึงให้ต๊อดซึ่งปกตินอนอยู่ด้วยกัน ไปขนของของตนเอามาไว้ที่บ้านพักคนงานให้หมด ตนจะมานอนที่นี่

เพราะทองประศรีไม่รู้ว่าอะไรเป็นของอาทิจบ้าง ต๊อดอ้างว่าตนมาขนของของตัวเอง พอต๊อดขนของไปหมดแล้ว ทองประศรียังรออาทิจกลับมากินข้าว สุดท้ายทนหิวไม่ไหวเลยปั้นจิ้ม...ปั้นจิ้ม จนหมดทั้งข้าวเหนียวและปลาร้า

รุ่งขึ้น ทองประศรีไปที่บ้านคุณย่าถามว่าอาทิจไปไหน ทำไมเมื่อคืนไม่กลับไปนอนบ้าน น้าแก้วบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน ถ้าอยากรู้ก็เดินหาเอา ที่ดินของคุณย่ามีแค่พันกว่าไร่ เดินหาเดี๋ยวก็คงเจอ

เวทางค์กำลังพาดรุณีไปสอบ พูดเยาะๆว่าอาทิจนี่ก็แปลก เมียก็ใช่ว่าจะขี้เหร่ทำเป็นเล่นตัวไปได้

“เรื่องส่วนตัวของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา รีบไปกันดีกว่า” ดรุณีเร่งแล้วเดินไปขึ้นรถเลย

เวทางค์ขับรถผ่านแปลงปลูกกะหล่ำปลี อาทิจเห็นรถเวทางค์ผ่านไปก็คิดในใจว่า...ดรุณีคงไปสอบแล้ว...

ooooooo

รุ่งขึ้น น้าแก้วร้อนใจกลัวอาทิจจะพลาดท่าเสียทีให้ทองประศรี แอบไปถามเกร็งว่าเมื่อคืนอาทิจนอนที่ไหน พอรู้ว่ามานอนที่บ้านพักคนงานก็โล่งใจ แต่ก็ห่วงอีกว่าแล้วเวลาอื่นจะทำอย่างไร เกร็งบอกว่าไม่ต้องห่วง พวกตนจะดูแลอาทิจให้เหมือนจงอางหวงไข่เลยทีเดียว ทำให้น้าแก้วเบาใจหายห่วง

แต่พอคุณย่ารู้ก็บอกน้าแก้วว่า “ของอย่างนี้มัน อยู่ที่ใจ...เราเป็นคนนอกเราห่วงได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันก็ขึ้นอยู่กับใจเขาเท่านั้นว่าจะแข็งแกร่งและมั่นคงไปได้นานแค่ไหน” ทำให้น้าแก้วเข้าใจ ทำใจ และหันไปทำงานต่อ

บ่ายจัด เวทางค์ขับรถพาดรุณีกลับ ผ่านแปลงปลูกกะหล่ำ สามเกลอมองอาทิจเชิงหยั่งความรู้สึก ต๊อดเลียบเคียงถามว่าไม่อยากได้แบบนี้สักคันหรือ

“ไม่หรอก คนอื่นจะคิดยังไงฉันไม่รู้ แต่สำหรับฉัน...รถคือพาหนะที่ช่วยให้เราไปไหนมาไหนสะดวก ประหยัดเวลา แล้วก็ช่วยในการทำงานเท่านั้น ฉันใช้รถอะไรก็ได้ เพราะไม่ได้คิดเอาไปอวดใคร”

“แล้วตุ๊กตาหน้ารถล่ะ ต้องน่ารักไหม” พันแหยมบ้าง

“น่ารักรึเปล่าไม่สำคัญเท่ากับทำงานเป็นรึเปล่า ถ้าทำงานเป็น เข้าใจงานที่ฉันทำ อดทนอยู่ข้างฉันได้ เขาก็ดูน่ารักในสายตาฉัน”

สามเกลอมองหน้ากัน ต๊อดบอกว่า ความต้องการของเขาห่างไกลกับนิสัยของทองประศรีมาก อึ่งรีบบอกว่า แต่ใกล้เคียงกับนิสัยของดรุณี อาทิจตีหน้าขรึมใส่ทุกคน ตัดบทว่าตนจะไปรดน้ำผัก ให้สามเกลออยู่ที่นี่ก็แล้วกัน ทำเอาสามเกลอมองหน้ากันไปมา แล้วพันก็คำรามใส่อึ่งที่ทำให้เสียบรรยากาศ...“ไอ้อึ่งโอ่งเอ๊ยยยย...”

ดรุณีกลับถึงบ้าน พอรู้จากน้าแก้วว่า คุณย่าไปช่วยอาทิจรดน้ำใส่ปุ๋ยที่สวนผัก ก็ถามเวทางค์ว่าจะไปด้วยกันไหม เวทางค์ลังเลเพราะแดดยังจ้าตนไม่ได้เอาครีมกันแดดมา อีกทั้งกลัวขี้ควายจะฝังเข้าไปในเล็บเหมือนคราวก่อนที่ล้างอย่างไรก็ไม่ออก เหม็นอยู่หลายวัน แต่ก็ปากหวานว่า “แต่...พี่ก็อยากไปช่วยน้องณีนะ เอ...เอาไงดี...”

เวทางค์คิดหนัก แต่พอหันมามองอีกทีดรุณีก็ปั่นจักรยานไปไกลแล้ว เลยรีบคว้าจักรยานปั่นตามไป

ooooooo

ดรุณีไปถึงสวนผัก คุณย่าถามว่าวันนี้ทำข้อสอบได้ไหม เธอบอกว่าดีกว่าเมื่อวานหน่อยหนึ่ง เกร็งติงว่า มาถึงเหนื่อยๆน่าจะพักผ่อนก่อน ดรุณีกระฉับกระเฉงลงแปลงผักบอกว่า

“ไม่คะ หนูจะรีบทำอย่างที่คุณย่าสอน หมดเวลาที่จะเฉื่อยแฉะเป็นเด็กๆ แล้ว เหลือแต่เวลาที่เราต้องช่วยกันทำงานเท่านั้น ตอนนี้หนูสอบเสร็จแล้วด้วย พร้อมลุยเต็มที่ค่ะลุงเกร็ง”

ดรุณีรดน้ำผักอย่างเอาการเอางาน ครู่เดียวเวทางค์ก็มาถึงบ่นว่า น้องณีปั่นจักรยานเร็วจนตนตามไม่ทัน เธอชวนมาช่วยรดน้ำผักกัน เวทางค์ลังเลกลัวรองเท้าที่เพิ่งฝากเพื่อนซื้อจากอังกฤษจะเปื้อนโคลน เกร็งเสนอให้ช่วยถอนหน้าใส่ปุ๋ยก็ได้ เขาก็กลัวกลิ่นขี้วัวขี้ควายจะเหม็นติดมืออีก

คุณย่าเลยตัดบทว่า ปลูกผักปลูกหญ้ามือเท้าก็ต้องติดดิน ถ้ากลัวขี้วัวขี้ควายเหม็น ก็ให้กลับไปรอกินผักกินผลไม้ที่ได้จากดินจากขี้วัวขี้ควายพวกนี้ก็แล้วกัน

เรื่องเวทางค์ยังไม่ทันจบ ทองประศรีก็แจ๋มาทีเดียว อาทิจเลยใช้ให้ไปช่วยเกร็งถอนหญ้าลงปุ๋ย ทองประศรี ยิ้มหวานรับคำ แต่พอพ้นหน้าอาทิจก็ทำหน้าขยะแขยง

ส่วนเวทางค์รีบไปประคองสายยางให้ดรุณีรดน้ำผัก อาทิจเหลือบมองแล้วเดินเลี่ยงไปก้มหน้าก้มตารดน้ำอีกมุมหนึ่ง

ทำงานเสร็จกลับถึงบ้าน คุณย่าชวนเวทางค์อยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน พอรู้ว่ามื้อนี้มีอาหารพื้นบ้านพวกน้ำพริกผักจิ้ม แกงผักหวาน เวทางค์ก็ทำท่าพะอืดพะอมบอกว่าตนกลับเลยดีกว่าไม่อยากปั้นข้าวเหนียวเพราะกลิ่นขี้ควายยังติดมืออยู่

ดรุณีบอกว่าใช้ส้อมจิ้มเอาก็ได้ เขาทำหน้าขยะแขยงบอกว่ากลิ่นยังโชยจมูกอยู่เลย แล้วขอลาคุณย่ากลับ

“เออ...แปลกจริงพ่อคนนี้ไม่ใช้มือไม่ใช่ส้อม แล้วจะเอาหลอดดูดข้าวกินรึไง” คุณย่าเสียงหน่าย หน้าเหนื่อย

ดรุณีกับน้าแก้วหัวเราะกันคิกคัก ที่คุณย่าช่างเปรียบเปรยได้น่าขำจริงๆ

ooooooo

ทองประศรีกลับไปรออาทิจที่บ้าน รอจนหิวทนไม่ไหวไปขอข้าวที่ห้องครัวคุณย่ากิน วางท่าเป็นนายสั่งน้าแก้วให้จัดสำรับให้ น้าแก้วชี้ให้ดูว่าอะไรอยู่ไหนแล้วให้ไปหยิบไปจกกินเอาเอง

จิ๋วแจ๋วนึกสนุก ถามทองประศรีว่า มาอยู่บ้านพักของอาทิจเจอผีนางตะเคียน ผีนางตานีบ้างไหม เห็นเขา ลือกันว่าดุนัก

ทองประศรีฟังแล้วหัวเราะก๊ากๆ บอกว่าขำมาก ถามว่านี่ พ.ศ.อะไรแล้วยังมาพูดเรื่องนี้กันอีก

น้าแก้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาบอกคุณย่าว่าโล่งอกไปทีที่อาทิจไม่ยอมกลับมานอนกับแม่นั่น พูดอย่างคาดหมายว่า

อ่าน ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 8 วันที่ 8 กรกฎาคม 2555

บทประพันธ์โดย กาญจนา นาคนันทน์
บทละครโทรทัศน์ทางช่อง 3 โดย ปารดา กันตพัฒนกุล
ที่มา ไทยรัฐออนไลน์