อ่าน ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 9
เป็นคำอวยพรที่สมใจดรุณีมาก เพราะเขายอมรับแล้วว่าตนเก่ง เธอยิ้มเต็มหน้าด้วยความภูมิใจ...ooooooo
หลังจากรับน้องใหม่ที่มหาวิทยาลัยแล้ว ดรุณีเขียนจดหมายเล่าให้คุณย่าฟังว่าสนุกมาก เล่าถึงเพื่อนใหม่ที่คณะ โดยเฉพาะคือได้เพื่อนบัดดี้เพื่อดูแลกันเป็นที่ถูกใจมาก เธอชื่อตุลยานีหรือเรียกกันสั้นๆว่าตุ่น
ดรุณีเล่าถึงตุ่นอย่างมีความสุขว่า เป็นเพื่อนที่เข้ากันได้ดี คุยกันได้ทุกเรื่อง ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด จะมีเบื่อบ้างก็ตอนมีหนุ่มๆตามจีบเพียบเท่านั้น
จดหมายรำพันความคิดถึงคุณย่า แอบเลยไปถึงอาทิจและสามเกลอด้วย แต่สุดท้าย ก็ ป.ล.บอกคุณย่าว่าอย่าบอกอาทิจว่าตนถามถึงเขา
“ไม่ทันแล้ว” คุณย่าพูดยิ้มๆเพราะท่านให้อาทิจเป็นคนอ่านจดหมายให้ฟังนั่นเอง
หนึ่งในหนุ่มที่มาจีบตุ่นคือเวทางค์ เขาคุยโวโอ้อวดความร่ำรวยและของใช้ราคาแพงเรียกความสนใจจากตุ่น แต่ตุ่นไม่แยแสเธอบอกว่าของพวกนี้ตนไม่สนใจเพราะมีใช้ตั้งแต่เกิดแล้ว เวทางค์เลยหน้าม้านไปแต่ยังมุ่งมั่นที่จะจีบเพราะความสวย มีเสน่ห์ของเธอ
ooooooo
หนึ่งปีผ่านไป ดรุณีจบปี 1 แล้ว เธอกลับมากราบคุณย่าด้วยความคิดถึง ทั้งคุณย่าและน้าแก้วต่างมองดรุณีอย่างชื่นชมที่เธอเปลี่ยนแปลงไปมาก จากที่เป็นเด็กท่าทางโดกเดก กลายเป็นอ่อนโยน อ่อนน้อม นุ่มนวล และยังโตขึ้นมากด้วย
เมื่อไปดูแปลงกะหล่ำที่อาทิจและสามเกลอกำลังตัดใส่เข่งกันอยู่อย่างขะมักเขม้น เธอตื่นเต้นกับแปลงกะหล่ำปลีที่กว้างขวางสวยงามมาก ส่วนอาทิจและสามเกลอถึงกับมองตะลึง ที่ดรุณีโตขึ้น สวยขึ้น และที่สำคัญเธอร่าเริงอ่อนโยน เธอเอ่ยกับอาทิจอย่างปลื้มใจแทนเขาว่า
“ที่นี่สวยมากจริงๆที่สวยเพราะมันไม่ใช่ที่ที่จะมานั่งนอนมาวิ่งเล่นอย่างเดียว แต่มันสวยด้วยประโยชน์ของสิ่งที่ปลูกขึ้นมาด้วยความใส่ใจ จริงไหมคะพี่อาทิจ”
อาทิจตะลึงอึ้ง ไม่ใช่เพราะคำชมแต่เพราะได้ยินเธอเรียกว่า “พี่” ดรุณีเดาใจเขาออกบอกว่า
“ณีอยากเรียกพี่อาทิจว่าพี่ตั้งแต่วันที่ไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯแล้วค่ะ แต่ณีไม่กล้า ไม่แน่ใจด้วยว่าพี่อาทิจจะอยู่ให้เรียกจนวันที่ณีกลับมาวันนี้รึเปล่า”
“ผม...เอ่อ...ก็อยู่นี่ตลอดเวลา” อาทิจยังเก้อๆเขินๆ ยิ่งเมื่อดรุณีชมความมานะพยายามของเขาที่ทำให้สวนคุณย่าสมบูรณ์สวยงาม บอกเขาว่าคนที่ทำงานหนักและทำได้ดี สมควรที่ตนจะเรียกว่าพี่ได้อย่างเต็มปากเต็มคำและเต็มใจ ทั้งยังบอกให้เขาเรียกตนว่าน้องณีด้วยความสนิทใจ
“เราจะช่วยกันดูแลสวนคุณย่าด้วยกันนะคะพี่อาทิจ” ดรุณียื่นนิ้วก้อยไปให้สัญญา อาทิจเกี่ยวก้อยเธอเขินๆ รับคำอย่างหนักแน่นด้วยเสียงประหม่านิดๆว่า
“ครับ...สัญญา...”
ทั้งคู่เกี่ยวก้อยกันมองกะหล่ำปลียักษ์เป็นสิบๆไร่บนเนินอย่างมีความสุข...
ooooooo
อ่าน ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 10
เย็นแล้ว เกร็งกับสามเกลอยังตัดแต่งกิ่งส้มอยู่ในสวน สามเกลอพากันสะกิดเมื่อเห็นดรุณีเดินเข้ามากับอาทิจดรุณีถามอาทิจว่าจะปลูกข้าวหรือ เขาบอกว่าอีกไม่กี่วันก็จะปักดำแล้ว เธออาสาจะช่วย ยังไม่ทันคุยอะไรกันต่อ บรรดาคนงานก็แห่กันเข้ามาสวัสดี ทักทายกันเสียงขรม ไพฑูรชิงพูดเอาหน้าถามอาทิจว่าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับดรุณีไหม
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ ณีต้องกลับบ้านทุกปิดเทอมอยู่แล้วไม่ใช่โอกาสพิเศษอะไร ยังไงก็ต้องขอบใจทุกคนมากนะที่ออกมารับ เอาเป็นว่า พรุ่งนี้มื้อกลางวัน ณีจะทำกับข้าวพิเศษมาให้ทุกคนกินก็แล้วกัน ดีไหมพี่อาทิจ”
สามเกลอหูผึ่ง ไม่ใช่เพราะจะได้กินอาหารพิเศษมื้อเที่ยง แต่เพราะทึ่งคำว่า “พี่” ที่ดรุณีเรียกอาทิจ
ตกเย็นอาทิจต้องไปกินข้าวบ้านคุณย่าตามปกติ แต่วันนี้เขาแต่งตัวดีเป็นพิเศษจนสามเกลอแซวกันคิกคัก เกร็งปรามทั้งสามว่า อย่าไปแซวอาทิจมากนักเดี๋ยวไก่จะตื่น แล้วอาทิจจะไม่กล้าจีบดรุณี สามเกลอทำคอย่นหุบปากเงียบ
ดรุณีเข้าครัวช่วยจัดผักล้างผัก น้าแก้วบอกให้ไปพักเสียเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ พวกตนทำเองได้ ระหว่างนั้นเอง จิ๋วแจ๋วอุ้มตะวันเข้ามา ดรุณีถามว่าลูกใครหน้าตาน่าชังจังแล้วเข้าไปขออุ้ม
“ลูกแม่ทองประศรีค่ะคุณณี” จิ๋วแจ๋วส่งตะวันให้ดรุณี เธอใจหายวาบ มองหน้าเด็กอย่างพินิจพิจารณา พูดเปรยๆว่า อาทิจมีลูกโตขนาดนี้แล้วหรือ น้าแก้วเลยเล่าให้ฟังว่า
“ไม่ใช่ลูกคุณอาทิจหรอกค่ะคุณณี นังทองประศรีมันคลอดนายตะวันหลังจากที่คุณณีไปเรียนได้ 3 เดือน นับย้อนไปถึงวันที่บ้านนั้นมาโวยวายว่าคุณอาทิจไปทำมิดีมิร้ายลูกสาวเขา มันก็แค่ 7 เดือนเอง”
ดรุณีบอกว่าเด็กอาจคลอดก่อนกำหนดก็ได้ น้าแก้วยืนยันว่าตนไปคาดคั้นกับตุ๊มาแล้ว รู้ความจริงว่า ทองประศรีไปมีอะไรกับคนอื่นมาก่อนเลยมาจับอาทิจให้เป็นพ่อเด็ก และก็เป็นความซวยของอาทิจที่วันนั้นเมาหนักไปหน่อย
“แล้วหลังจากที่หนูไปเรียน เขา...หนูหมายถึงพี่อาทิจกับทองประศรีได้อยู่ด้วยกันรึเปล่าคะ”
“โอ๊ย...มันก็ตามไปเฝ้าคุณอาทิจตลอดล่ะค่ะ แต่คุณอาทิจไม่ใจอ่อนด้วย” ส่วนที่ดรุณีถามว่า อาทิจรับเป็นพ่อเด็กนั้นใช่ไหม อาทิจตอบเองเพราะเดินเข้ามาได้ยินพอดีว่า “ใช่”
ooooooo
เมื่อไปนั่งคุยกันที่มุมพักผ่อนบ้านคุณย่า โดยมีคุณย่านั่งอยู่ด้วย อาทิจชี้แจงว่า
“พี่สงสารเด็กตาดำๆที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ก็เลยยอมที่จะให้เด็กเรียกว่าพ่อ ไม่ถึงขั้นจดทะเบียนรับเป็นลูกหรอกนะ พี่ไม่อยากผูกมัดตัวเองด้วยสัญญาอะไรทั้งนั้น เพราะถ้าวันข้างหน้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา พันธะของสัญญามันจะมัดตัวเราจนดิ้นไม่หลุด”
คุณย่าบอกว่า ท่านเองก็รับเอาไว้เป็นหลานคนหนึ่ง เพราะลูกหลานคนงานเป็นร้อยๆคนเรายังช่วยได้ นี่เด็กอีกคนเดียวจะเป็นไรไป เลี้ยงไว้เอาบุญ ดรุณีถามว่าเหมือนที่คุณย่าเลี้ยงตนไว้ใช่ไหม คุณย่าแย้งทันทีว่า “แม่ณีเป็นน้องย่า”
“หนูรู้ตัวดีค่ะว่าหนูอยู่ในฐานะอะไร แต่ตอนนี้หนูยอมรับสถานภาพของหนูได้ เพราะหนูโตพอที่จะเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว” เธอหันไปพูดกับอาทิจว่า “ยังไงณีก็ต้องขอบคุณพี่อาทิจด้วยนะคะ ที่เป็นตัวอย่างที่ดี ทำให้ณีคิดเป็น ถ้าเรามัวแต่คิดถึงแต่เรื่องที่เราขาด เราจะเติมเต็มชีวิตที่เหลือให้ตัวเราเองและคนรอบข้างของเราได้ยังไง”
“ทีนี้แม่ณีก็เรียกพี่เขาว่า “พี่” ได้อย่างสนิทใจ ไม่ต้องให้ย่าบังคับแล้วสินะ” คุณย่ายิ้มแซวๆ
“ค่ะ...ขอบคุณนะคะ พี่อาทิจ”
คุณย่ายิ้มอย่างสบายใจ สองมือกอดหลานรักไว้สองข้างด้วยความรัก...
ooooooo
หลังจากทองประศรีคลอดตะวันเลี้ยงได้ 3 เดือนพอลูกหย่านมก็กลับไปขายของที่ร้านเพราะทนทำงานกลางแดดกลางดินไม่ได้ ซ้ำอาทิจก็ไม่เคยมาดูดำดูดีด้วย
กลับมาอยู่บ้านแล้วก็ยังถูกพ่อแม่ด่าที่ไปมั่วกับทองใบ บอกว่ายังดีที่ฝ่ายโน้นไม่ประจานออกมาให้ขายหน้า
ทองประศรีอัดอั้นตันใจวิ่งออกไปนั่งร้องไห้ที่น้ำตก บรรยงที่นั่งฟังอยู่อย่างเห็นใจตามไปปลอบ บอกทอง–ประศรีว่าตนเคยรักยังไงก็ยังรักเหมือนเดิม เสนอมาสร้างครอบครัวกันใหม่ไหม ไม่ต้องห่วงตะวันตนจะรักเหมือนลูกตัวเอง
บรรยงปลอบประโลมจนทองประศรีผวาเข้ากอดด้วยความซาบซึ้ง และในที่สุดทั้งสองก็ปล่อยใจไปตามอารมณ์ปรารถนา
เพราะมัวระเริงอยู่กับบรรยงจนดึก ทำให้ไม่ได้ไปรับตะวันตามปกติ ดรุณีอุ้มตะวันรอตั้งแต่หัวค่ำจนน้าแก้วบ่น อาทิจมาช่วยรับไปอุ้ม เขาอุ้มตะวันอย่างถนัดมือจนดรุณีชม น้าแก้วเลยแซวว่า ดูแล้วเหมือนครอบครัวพ่อแม่ลูกเลย
ไม่นานนัก ทองประศรีก็มารับตะวัน อ้างว่าที่มาดึกเพราะติดธุระสำคัญ ถูกน้าแก้วตำหนิ ดรุณีเลยตัดบทว่าวันหลังก็มารับเร็วกว่านี้ก็แล้วกันจะได้มีเวลาคุยเล่นกับลูกบ้างเพราะเด็กอายุหนึ่งขวบถึงสามขวบสมองเขาจะพัฒนาเร็วกว่าทุกช่วงอายุ
ทองประศรีรับตะวันไปแล้ว อาทิจขอบใจดรุณีที่ช่วยพูดให้ทองประศรีเข้าใจว่าตัวเองต้องรับผิดชอบลูกให้มากกว่านี้
“ไม่น่าเชื่อว่าเด็กกระโดกกระเดกอย่างณีจะพูดอะไรแบบนี้ได้ใช่ไหมคะ” ดรุณีถามหยอก
“เชื่อครับ ก็ตอนนี้น้องณีไม่ใช่เด็กแล้วนี่” อาทิจ ตอบจริงจัง ทำเอาดรุณีเขิน
ooooooo
หลังจากปักดำกล้าไปได้อาทิตย์เดียว ต้นข้าวก็ชูใบเขียวขจีแข็งแรงสวยงามไปทั้งทุ่ง อาทิจ คุณย่า ดรุณี และน้าแก้วมาดูผืนนาอย่างปลื้มใจ อาทิจคาดหวังว่าอีกไม่กี่เดือนข้าวก็ออกรวงสุกปลั่งให้เกี่ยวได้แล้ว
“อิจฉาทุกคนจังเลย หนูว่ามันน่าตื่นเต้นนะคะ ที่จะได้เห็นข้าวที่เราปลูกเองกับมือค่อยๆโตจนเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ยังไงก็เขียนจดหมายเล่าให้หนูฟังด้วยนะคะคุณย่า เอ๊ย...น้าแก้วเขียนนี่นา”
ดรุณีจำได้ว่าจดหมายที่คุณย่าเขียนถึงตนฉบับนั้นไม่ใช่ลายมือคุณย่าแถมยังเขียนตัวโตเท่าหม้อแกงด้วย น้าแก้วบอกว่าตนไม่ได้เขียน แล้วหันไปบอกอาทิจว่าคราวหลังเขียนหนังสือให้ตัวเล็กๆหน่อย
พอดรุณีรู้ว่าอาทิจเป็นคนเขียน ก็ถามว่า เขาเขียนตามคำสั่งคุณย่าใช่ไหม น้าแก้วตอบแทนอีกว่า ไม่ใช่เขียนตามคำสั่งคุณย่าเท่านั้นยังอ่านตามคำสั่งคุณย่าด้วย ดรุณีเขินจัดเมื่อรู้ว่าที่ตนเขียนถึงเขาแล้วบอกคุณย่าว่าอย่าบอกเขานั้น เขารู้หมดแล้ว
คุณย่ากับน้าแก้วเห็นอาการของดรุณีก็แอบสบตาอย่างรู้กันประสาผู้ใหญ่
ooooooo
วันต่อมา ดรุณีขับรถตะบึงไปบอกอาทิจว่า น้าแก้วบอกว่าจะมีพายุเข้าและน้ำป่าอาจทะลักผ่านทางบ้านแม่กลางน้อย อาทิจเป็นห่วงข้าวในนา รีบขับรถจะไปดูดรุณีตามไปด้วย เจอเกร็งสวนมาพร้อมกับสามเกลอ บอกว่าฝนตกหนักมากน้ำกำลังทะลักผ่านเส้นทางนั้นอันตรายมากให้กลับดีกว่า
อาทิจเป็นห่วงข้าวในนาบอกดรุณีให้กลับไปกับเกร็งตนจะดูนาข้าว ทุกคนจึงตัดสินใจไปด้วยกัน
ไปกลางทาง พบถนนถูกน้ำตัดขาด อาทิจยังจะหาทางอื่นไปให้ถึงที่นา เกร็งบอกว่ามีเส้นทางนี้เส้นทางเดียว แต่อาทิจยังไม่ยอมถอย จนดรุณีต้องเตือนสติว่า
“พี่อาทิจต้องคิดถึงใครอีกคนมากกว่าข้าวนะคะ คุณย่าจะเป็นยังไงถ้ารู้ว่าพี่อาทิจมายืนเสี่ยงอันตรายอยู่ตรงนี้” พูดแล้วเห็นอาทิจนิ่งไป เธอขอร้อง “กลับบ้านเรานะคะ คุณย่ารออยู่...” พลางจับมือเขาพากลับมาที่รถ
คุณย่ากับน้าแก้วคอยอยู่ด้วยความเป็นห่วงทั้งสองมาก พอเห็นกลับมาคุณย่าลุกยืนด้วยความดีใจ โล่งใจ อาทิจขอโทษคุณย่า ที่ไม่สามารถไปถึงที่นาได้เพราะน้ำป่าทะลักตัดถนนขาด
คุณย่าบอกว่าไม่จำเป็นต้องเข้าไปตอนนี้ อาทิจ บอกว่าตนเสียดายข้าวของคุณย่า คุณย่าอุตส่าห์ช่วยปลูก
“ไม่มีอะไรที่เป็นของย่า ถ้าจะให้ย่าเลือกระหว่างข้าวของที่ย่ามี กับชีวิตเราสองคน ย่าขอเลือกอย่างหลังแม้ย่าจะไม่เหลืออะไรเลย พรุ่งนี้ทุกอย่างอาจจะดี อาจจะไม่มีอะไรเลวร้ายอย่างที่เราคิดก็ได้”
คุณย่าโอบกอดทั้งสองไว้อย่างปลอบใจ ให้กำลังใจและให้ความหวัง...
แต่เมื่ออาทิจ คุณย่า ดรุณี พากันไปดูนาที่ล่มเพราะน้ำป่าแล้ว เขายิ่งเจ็บปวด ที่ความฝันของคุณย่าพังทลายไปต่อหน้า คุณย่าก็ยังเข้มแข็ง ให้กำลังใจเขาทั้งที่ท่านเองก็เจ็บปวดว่า
“ความฝันของย่ามีหลายอย่าง ย่าฝันจะปลูกส้ม ย่าก็ปลูก ล้มลุกคลุกคลานผิดหวัง เสียน้ำตากับมันมาก็บ่อยครั้ง แต่ย่าไม่เคยยอมแพ้ มนุษย์เราอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะเรามีใจที่แข็งแกร่ง เราล้มได้ ร้องไห้ได้ แต่ล้มเลิกความตั้งใจไม่ได้ เข้าใจไหมพ่อ”
“ครับ”
“เราเป็นแค่มดปลวกก็จริง แต่เราก็ขยันและอดทน พลังใจอันมหาศาลเท่านั้นที่จะทำให้เราอยู่กับธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน เราจะปลูกข้าวกันใหม่ใช่ไหมพ่อ”
“ครับคุณย่า”
คุณย่าลูบหัวอาทิจที่ยิ้มทั้งน้ำตา ทุกคนต่างซาบซึ้งสะเทือนใจ มีแต่วิไลลักษณ์เท่านั้นที่มองอาทิจด้วยความริษยาที่ได้รับความเมตตาจากคุณย่าอย่างมาก
ooooooo
กลับมาทานอาหารกันที่บ้าน อาทิจบอกคุณย่าว่า เสาร์อาทิตย์นี้ตนจะขอแรงคนงานไปช่วยปลูกป่าแถวต้นน้ำเพื่อป้องกันที่ต้นเหตุ ดรุณีเห็นด้วยและตนจะช่วยทำฝายชะลอน้ำด้วย
“ปลูกตะไคร้กั้นแนวดินด้วยสิอาทิจ” วิไลลักษณ์เสนอขึ้นอย่างมั่นใจมาก อาทิจทำหน้างง เธอก็ยังอธิบายเป็นคุ้งเป็นแควว่า “อาเคยพาพวกผู้ใหญ่ไปดูงานที่โครงการหลวงบ่อยๆเห็นเขาปลูกตะไคร้กั้นน้ำตามคันดินกัน ตาสีตาสาที่ไหนก็รู้นะ เราเรียนมาทางนี้ไม่รู้เลยเหรอจ๊ะ...อู๊ยยยย...ขำ”
อาทิจเลยนึกได้ถามว่าหญ้าแฝกหรือเปล่า วิไลลักษณ์หัวเราะค้าง รู้ตัวว่าพูดผิดทำเป็นอุทานว่า
อ่าน ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 9-10 วันที่ 12 กรกฎาคม 2555
บทประพันธ์โดย กาญจนา นาคนันทน์บทละครโทรทัศน์ทางช่อง 3 โดย ปารดา กันตพัฒนกุล
ที่มา ไทยรัฐออนไลน์